คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3296/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับประกันภัยต่อค่าเสียหายจากรถที่รับประกัน และการบังคับใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถที่รับประกันภัยไว้ไปก่อให้เกิดขึ้น ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย การที่จำเลยรับประกันภัยรถคันดังกล่าวจากผู้ใด เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบอยู่แล้ว แม้ฟ้องของโจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม เมื่อจำเลยแพ้คดี จำเลยต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจกำหนดโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี ทั้งไม่เกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดเรื่องค่าเสียหายตามวงเงินที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย, เบี้ยปรับ, และดอกเบี้ยตามสัญญา
สัญญามีข้อความตกลงเอาทรัพย์สินออกให้เช่าซื้อ โดยตกลงราคาเป็นเงิน 165,312 บาท กำหนดผ่อนชำระรวม 36 งวด งวดละ 4,592 บาทและกำหนดว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันที เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วทั้งหมดเป็นของเจ้าของโดยผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน ใน สภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าซื้อเอง ยอมให้เจ้าของหรือผู้แทนเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ได้ ถ้าเจ้าของต้องเสียค่าติดตามทรัพย์ ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้คืนให้ หรือต้องส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และเมื่อมีการเลิกสัญญาในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินให้ริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเป็นของเจ้าของทรัพย์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อการที่สัญญากำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใดก็ได้และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อจำเลยได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอื่น
ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญานี้ กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ถือเป็นข้อสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญา ย่อมใช้บังคับกันได้ไม่มีกฎหมายห้ามและข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ
ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของ ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้าง"นั้น ค่าเสียหายที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อไม่ได้ราคาเท่ากับราคาเช่าซื้อ ไม่ใช่เงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระตามความหมายของค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามอัตราที่สัญญาดังกล่าวกำหนด คงเรียกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: สิทธิเจ้าของในการเรียกค่าเสียหายเมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และลักษณะของข้อตกลงเบี้ยปรับ
สัญญาเช่าซื้อที่กำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใด ก็ได้ และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อ ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อได้ ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตาม ที่กำหนดไว้ในสัญญาหาทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอย่างอื่นไปไม่ ข้อสัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า "ถ้า ผู้ซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ก็ดี กระทำผิดสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ...ถือ ว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดย เจ้าของไม่ต้องบอกกล่าว ...ถ้า เจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ไปแล้วยังไม่คุ้ม ราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตาม สัญญานี้กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญาย่อมใช้บังคับกันได้ ไม่มีกฎหมายห้าม ดังนี้ เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย, และดอกเบี้ยตามสัญญา vs. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สัญญามีข้อความตกลงเอาทรัพย์สินออกให้เช่าซื้อ โดยตกลงราคาเป็นเงิน 165,312 บาท กำหนดผ่อนชำระรวม 36 งวด งวดละ 4,592 บาทและกำหนดว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันที เจ้าของริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วทั้งหมดเป็นของเจ้าของโดยผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน และผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยพลัน ใน สภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าซื้อเอง ยอมให้เจ้าของหรือผู้แทนเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์ได้ ถ้าเจ้าของต้องเสียค่าติดตามทรัพย์ ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้คืนให้ หรือต้องส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และเมื่อมีการเลิกสัญญาในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินให้ริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเป็นของเจ้าของทรัพย์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อการที่สัญญากำหนดให้เจ้าของมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้กับบุคคลใดก็ได้และที่สัญญามิได้ระบุกำหนดให้ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อจำเลยได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อกลายเป็นสัญญาอื่น ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญานี้ กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน" ถือเป็นข้อสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา และเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญา ย่อมใช้บังคับกันได้ไม่มีกฎหมายห้ามและข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ข้อสัญญาที่ระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของ ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้าง"นั้น ค่าเสียหายที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อไม่ได้ราคาเท่ากับราคาเช่าซื้อ ไม่ใช่เงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระตามความหมายของค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามอัตราที่สัญญาดังกล่าวกำหนด คงเรียกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายตามสัญญาเลิกจ้าง ไม่ใช่เบี้ยปรับ เพราะตกลงหลังผิดสัญญา
โจทก์ว่าจ้างจำเลยติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว จำเลยยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ต่อมาจำเลยทำบันทึกยอมรับว่าจำเลยไม่สามารถดำเนินการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญา จำเลยขอเลิกสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายตามสัญญาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับค่าเสียหายนั้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยตกลงชำระตามบันทึกขอเลิกสัญญาดังกล่าว จึงไม่ใช่เบี้ยปรับเพราะมิได้เป็นค่าเสียหายที่คู่ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายตามสัญญาเลิกจ้าง ไม่ใช่เบี้ยปรับ: ศาลตัดสินตามข้อตกลงหลังสัญญาค้าง
โจทก์ว่าจ้างจำเลยติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว จำเลยยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ต่อมาจำเลยทำบันทึกยอมรับว่าจำเลยไม่สามารถดำเนินการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญา จำเลยขอเลิกสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายตามสัญญาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับค่าเสียหายนั้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยตกลงชำระตามบันทึกขอเลิกสัญญาดังกล่าว จึงไม่ใช่เบี้ยปรับเพราะมิได้เป็นค่าเสียหายที่คู่ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในการขับรถในทางการที่จ้าง และขอบเขตค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ สาขาชะอำ จังหวัดเพชรบุรีได้รวมตัวกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ สาขาจังหวัดเพชรบุรีจัดตั้งชมรม เรียกว่าชมรมธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการทำงานของธนาคารให้อยู่ในระเบียบแบบแผนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทุก ๆ ปี ชมรมธนาคารนี้จะจัดงานปีใหม่เลี้ยงพนักงานของธนาคารทุกสาขาในจังหวัดเพชรบุรี การสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมธนาคารก็ต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อน ดังนี้การที่ จ. พนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีตำแหน่งผู้จัดการสาขาชะอำได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ของชมรมธนาคาร และงานดังกล่าวได้จัดขึ้นเพื่อให้พนักงานธนาคารซึ่งเป็นสมาชิกได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของธนาคารฉะนั้นเมื่อ จ. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์ทำให้ทรัพย์สินโจทก์เสียหาย ย่อมถือได้ว่า จ. ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับ จ. ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมต่อความเสียหายของทรัพย์สินของแขกที่สูญหาย และการคำนวณค่าเสียหายที่เหมาะสม
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมโดยแนบสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาท้ายฟ้อง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาพร้อมกับฟ้อง อีกทั้งการจะพิจารณาว่าสัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมโดยมีจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มาพักอาศัยที่โรงแรมโดยนำรถยนต์มาจอดไว้ที่ลานจอดรถในบริเวณโรงแรมแล้วหายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ จะอ้างไม่รับผิดเป็นส่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ได้
ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายก็คือราคารถยนต์ ซึ่งต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่สูญหาย คดีนี้โจทก์ได้รถยนต์คันพิพาทมาด้วยการเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วย ทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยนั้นถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมต่อความเสียหายของทรัพย์สินแขก และการคำนวณค่าเสียหายที่เหมาะสม
ในการฟ้องให้จำเลยให้รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรมที่โจทก์พักและนำรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อมาจอดไว้ที่ลานจอดรถบริเวณโรงแรมโดยสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ท้ายฟ้องไม่มีลายมือของผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป สัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำไปสืบในชั้นพิจารณา บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมโดยมีจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 674,675 จำเลยจะอ้างไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ได้ ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายคือราคารถยนต์ ซึ่งต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่สูญหาย โจทก์เช่าซื้อรถยนต์ผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยไว้ในราคาด้วยทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยนั้นถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมต่อความสูญหายของรถยนต์ที่จอดไว้ในโรงแรม และการคำนวณค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมโดยแนบสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาท้ายฟ้อง แม้ตามสำเนาเช่าซื้อไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาพร้อมกับฟ้อง อีกทั้งการจะพิจารณาว่าสัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมโดยมีจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มาพักอาศัยที่โรงแรมโดยนำรถยนต์มาจอดไว้ที่ลานจอดรถในบริเวณโรงแรมแล้วหายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ จะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ได้ ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ของโจทก์สูญหาย ก็คือราคารถยนต์ ซึ่งต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่สูญหาย รถยนต์คันที่หายโจทก์ได้มาด้วยการเช่าซื้อซึ่งผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วย ทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย
of 283