พบผลลัพธ์ทั้งหมด 354 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานค้ามนุษย์และพรากเด็ก การกระทำถือเป็นความผิดต่างฐานกัน
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปขายให้แก่ จ.ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีเพื่อให้ผู้เสียหายค้าประเวณี ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ฐานหนึ่งแล้ว และขณะเดียวกันการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาของผู้เสียหาย จำเลยก็มีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากอำนาจปกครองของมารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสามอีกฐานหนึ่งต่างหากจากความผิดตามมาตรา 283 วรรคสาม มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 กับพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 จำเลยกระทำเพียงครั้งเดียวและเกิดผลเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่เตรียมไว้เพื่อซื้อยาเสพติด แม้จะไม่ได้ใช้ซื้อทั้งหมด ก็ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดได้
จำเลยที่ 3 เตรียมเงินจำนวน 850,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ 1 สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ 2 ได้ในปริมาณราคาเพียง 600,000 บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ 3 เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก 250,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4485/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาไม่สมบูรณ์เมื่อไม่ระบุวันเวลาการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับวันกระทำผิดศาลจะเอาข้อเท็จจริงในฟ้องแต่ละวรรคซึ่งเป็นข้อเท็จจริงคนละตอนมาประกอบกันเพื่อจะให้เข้าใจเอาเองว่าเกิดเหตุระหว่างวันเวลาใดหาได้ไม่ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์เสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3688/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เงินสดแสดงเพื่อหลอกลวงในการฉ้อโกง ไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
การที่จำเลยหลอกลวงขอซื้อสร้อยคอทองคำจากผู้เสียหายโดยนำเงินของกลางออกมาแสดงให้ผู้เสียหายดูแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ที่อื่นและบอกผู้เสียหายว่าได้ชำระค่าสร้อยคอทองคำให้แล้วนั้น การแสดงเงินของกลางให้ผู้เสียหายดู ไม่เกี่ยวกับการกล่าวเท็จว่าได้ชำระเงินให้แล้ว ฉะนั้นเงินของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานพรากผู้เยาว์และการเรียกค่าไถ่ ศาลฎีกาตัดสินเรื่องการจัดให้ผู้ถูกพรากตัวได้รับเสรีภาพ
จำเลยรับจ้างผู้เสียหายทำงานบ้านและเลี้ยงดูเด็กหญิง ส. อาย ุ9 เดือนบุตรของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยได้เอาตัวเด็กหญิง ส.ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจตามไป พบเด็กหญิง ส. นอนอยู่ในเปลที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ขณะนั้นจำเลยยืนบังเสาอยู่และได้เดินออกมาผู้เสียหายอุ้มเด็กหญิง ส. ขึ้นจากเปล พาบุตรสาวพร้อมทั้งจำเลยกลับบ้านดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาอันจะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 เพราะการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปให้ได้รับเสรีภาพตามมาตรา 316 นั้น จะต้องเป็นการกระทำของผู้กระทำผิดคือจำเลย หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้เสียหายตามไปพบและอุ้มเอาบุตรสาวมาเอง จำเลยมิได้กระทำการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำของผู้กระทำผิดต้องเป็นผู้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพ จึงจะมีผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316
จำเลยรับจ้างผู้เสียหายทำงานบ้านและเลี้ยงดูเด็กหญิง ส.อายุ 9 เดือนบุตรของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยได้เอาตัวเด็กหญิง ส.ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจตามไป พบเด็กหญิง ส. นอนอยู่ในเปลที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่งขณะนั้นจำเลยยืนบังเสาอยู่และได้เดินออกมา ผู้เสียหายอุ้มเด็กหญิงส. ขึ้นจากเปล พาบุตรสาวพร้อมทั้งจำเลยกลับบ้าน ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาอันจะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 เพราะการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปให้ได้รับเสรีภาพตามมาตรา 316 นั้น จะต้องเป็นการกระทำของผู้กระทำผิดคือจำเลย หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้เสียหายตามไปพบและอุ้มเอาบุตรสาวมาเอง จำเลยมิได้กระทำการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ การช่วยเหลือผู้ถูกพรากตัว และการให้ได้รับเสรีภาพ
จำเลยรับจ้างผู้เสียหายทำงานบ้านและเลี้ยงดูเด็กหญิง ส. อายุ9 เดือนบุตรของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยได้เอาตัวเด็กหญิง ส.ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาเจ้าพนักงานตำรวจตามไป พบเด็กหญิง ส. นอนอยู่ในเปลที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ขณะนั้นจำเลยยืนบังเสาอยู่และได้เดินออกมาผู้เสียหายอุ้มเด็กหญิง ส. ขึ้นจากเปล พาบุตรสาวพร้อมทั้งจำเลยกลับบ้านดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาอันจะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 เพราะการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปให้ได้รับเสรีภาพตามมาตรา 316 นั้น จะต้องเป็นการกระทำของผู้กระทำผิดคือจำเลย หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้เสียหายตามไปพบและอุ้มเอาบุตรสาวมาเอง จำเลยมิได้กระทำการใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกทรัพย์จากผู้ต้องหา: การกระทำผิดฐานเรียกรับสินบน
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด ได้จับกุมผู้กระทำผิดฐานเล่นการพนันสลากกินรวบพร้อมของกลางแล้วไม่นำส่งสถานีตำรวจทันที กลับพาไปที่ป้ายรถโดยสารประจำทางในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็นและให้ผู้ถูกจับกุมโทรศัพท์ติดต่อกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตกลงกันที่ป้ายรถโดยสารประจำทางและรออยู่เป็นเวลานานเมื่อพาผู้ถูกจับไปสถานีตำรวจจำเลยเข้าไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ไม่มอบบันทึกการจับกุมและของกลางให้ ทั้งไม่นำตัวผู้ต้องหาเข้าไปด้วย แสดงว่าเป็นเพียงแผนการของจำเลยให้ผู้ต้องหากลัวและหาทางตกลงกับจำเลย จำเลยไม่มีเจตนาที่จะมอบผู้ต้องหาให้แก่พนักงานสอบสวนจริงจัง พฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นการเรียกทรัพย์สินจากผู้ต้องหาแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดจำนวนเงิน และฝ่ายผู้ต้องหายังไม่ได้ตอบตกลงเท่านั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาผู้ให้เช่าซื้อเพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ถือเป็นการรู้เห็นเป็นใจต่อการกระทำผิด
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดกัน ให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที แต่การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ผู้ร้องยินยอมรับค่าเช่าซื้องวดแรกจากผู้เช่าซื้อหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาถึง 7 เดือน โดยมิได้เลิกสัญญาหรือยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืน แสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญ และไม่ประสงค์จะเลิก สัญญา เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดอีกกว่า 20 งวด ผู้ร้องก็เพียงแต่ติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อเท่านั้นประกอบกับสัญญาเช่าซื้อระบุว่าในกรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย หรือเสียหายไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยก็ดี หรือเหตุอื่นใดก็ดีฯลฯ ผู้เช่าซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินเต็มจำนวนตามสัญญาเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาหรือติดตามรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจนกระทั่งจำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำความผิดและถูกริบถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลาง: เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง & การใช้ยานพาหนะในการกระทำผิด
ในชั้นขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีเพียงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งต้องริบตาม ป.อ. มาตรา33(1) ผู้ร้องที่ 2 มิได้อุทธรณ์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องจะยกขึ้นโต้เถียงในชั้นขอคืนของกลางอีกไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)