พบผลลัพธ์ทั้งหมด 215 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งหลายทอด กรณีสินค้าสูญหาย และข้อยกเว้นความรับผิดที่ไม่ชัดเจน
ก่อนที่เรือบรรทุกสินค้าจะมาถึงประเทศไทย จำเลยได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แจ้งกำหนดเวลาที่เรือจะเข้าเทียบท่า ทำการติดต่อกับกรมเจ้าท่า ติดต่อกรมศุลกากร และการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อขออนุญาตนำเรือเข้าเทียบท่า ครั้นเมื่อเรือบรรทุกสินค้ามาถึงประเทศไทยจำเลยได้ติดต่อว่าจ้างขนถ่ายสินค้าลงจากเรือสินค้าแจ้งให้ผู้รับตราส่งทราบว่าสินค้าได้มาถึงประเทศไทยแล้ว และรับใบตราส่งจากผู้ซื้อ แล้วออกใบปล่อยสินค้าให้แก่ผู้สั่งซื้อเพื่อนำไปรับสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในกรณีที่จะมีการส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังต่างประเทศโดยเรือของบริษัทเจ้าของเรือจำเลยจะเป็นผู้ออกใบตราส่งให้ โดยใช้แบบฟอร์มเดียวกันกับใบตราส่งของบริษัทดังกล่าว ในการดำเนินกิจการของจำเลยดังกล่าวนี้จำเลยได้รับประโยชน์ตอบ แทนโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จากค่าระวางการดำเนินกิจการของจำเลยดังกล่าวแม้บางอย่างจะกระทำการแทนผู้ขนส่งต่างประเทศ แต่ก็เป็นการเข้าลักษณะร่วมกันทำการขนส่งกับผู้ขนส่งต่างประเทศซึ่งเป็นเจ้าของเรือ และเป็นการขนส่งหลายทอดโดยจำเลยเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา618 ลักษณะ 8 เรื่องรับขนในฐานะที่เป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสาม การที่ผู้ส่งสินค้ายอมรับใบตราส่งไปจากผู้ขนส่งนั้นจะถือว่าผู้ส่งได้ตกลงด้วยชัดแจ้งกับข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในใบตราส่งไม่ได้ ข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงตก เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 625
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตภาษีการค้าคลังสินค้า vs. ขนส่ง และหน้าที่หักภาษีเงินได้ของลูกจ้าง
ตามประมวลรัษฎากรไม่ได้บัญญัติว่ารายรับจากการค้าประเภทคลังสินค้าหมายถึงอะไร จึงต้องถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 770 และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 770, 771 นายคลังสินค้าคือผู้รับทำการเก็บรักษาสินค้าเท่านั้น กฎหมายหาได้กำหนดให้นายคลังสินค้าต้องมีหน้าที่ขนสินค้ามาเข้าหรือออกจากคลังสินค้าของตนด้วยไม่ ฉะนั้นรายรับจากการประกอบการคลังสินค้าก็คือค่าบำเหน็จในการเก็บรักษาสินค้าหรือค่ารับฝากสินค้าเท่านั้น หารวมถึงค่าขนส่งไม่การที่โจทก์ซึ่งเป็นนายคลังสินค้าได้ออกทดรองจ่ายค่าจ้างขนสินค้าให้แก่ผู้รับขนแทนผู้ฝากสินค้าไปนั้น เงินทดรองจ่ายค่าขนสินค้าของผู้ฝากนี้ เป็นรายรับของผู้รับขนซึ่งผู้ฝากสินค้ามีหน้าที่ต้องจ่ายตามสัญญา หาใช่รายรับของโจทก์ซึ่งเป็นนายคลังสินค้า โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าในเงินค่ารับขนที่ได้ทดรองจ่ายแทนผู้ฝากไป
โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างต้องหักภาษีเงินได้ของลูกจ้างไว้จากเงินได้ของลูกจ้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 เมื่อโจทก์ไม่หักภาษีไว้โจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา 54
โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างต้องหักภาษีเงินได้ของลูกจ้างไว้จากเงินได้ของลูกจ้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 เมื่อโจทก์ไม่หักภาษีไว้โจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตภาษีการค้าคลังสินค้า vs. ขนส่ง และหน้าที่หักภาษีเงินได้ของลูกจ้าง
ตามป.รัษฎากรไม่ได้บัญญัติว่ารายรับจากการค้าประเภทคลังสินค้าหมายถึงอะไรจึงต้องถือตามป.พ.พ.มาตรา770และ771นายคลังสินค้าคือผู้รับทำการเก็บรักษาสินค้าเท่านั้นกฎหมายหาได้กำหนดให้นายคลังสินค้าต้องมีหน้าที่ขนสินค้ามาเข้าหรือออกจากคลังสินค้าของตนด้วยไม่ฉะนั้นรายรับจากการประกอบการคลังสินค้าก็คือค่าบำเหน็จในการเก็บรักษาสินค้าหรือค่ารับฝากสินค้าเท่านั้นหารวมถึงค่าขนส่งไม่การที่โจทก์ซึ่งเป็นนายคลังสินค้าได้ออกทดรองจ่ายค่าจ้างขนสินค้าให้แก่ผู้รับขนแทนผู้ฝากสินค้าไปนั้นเงินทดรองจ่ายค่าขนสินค้าของผู้ฝากนี้เป็นรายรับของผู้รับขนซึ่งผู้ฝากสินค้ามีหน้าที่ต้องจ่ายตามสัญญาหาใช่รายรับของโจทก์ซึ่งเป็นนายคลังสินค้าโจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าในเงินค่ารับขนที่ได้ทดรองจ่ายแทนผู้ฝากไป โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างต้องหักภาษีเงินได้ของลูกจ้างไว้จากเงินได้ของลูกจ้างตามป.รัษฎากรมาตรา50เมื่อโจทก์ไม่หักภาษีไว้โจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างตามมาตรา54.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกประเภทสัญญาและการเสียภาษี: กรณีบริการขนส่งไม่ใช่สัญญาเช่า
การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนอาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537, 546 และ 552 ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกประเภทสัญญาและการเสียภาษี กรณีบริการขนส่งบุคคล ไม่ใช่การเช่า
การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนอาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537,546และ 552 ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของไปรษณีย์ในการขนส่งสิ่งของสูญหาย และขอบเขตการประกันภัย
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าแทนที่โจทก์ดังนี้เป็นการอนุญาตให้ผู้ร้องสอดมีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาเช่นเดียวกับโจทก์เดิมส่วนโจทก์มีสิทธิและหน้าที่อยู่อย่างไรก็คงมีอยู่เช่นนั้นและต้องผูกพันโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการโจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ จำเลยที่1เป็นนิติบุคคลดำเนินกิจการไปรษณีย์มีหน้าที่ตามกฎหมายในการรับขนส่งไปรษณียภัณฑ์ของผู้ฝากส่งไปทั้งในและนอกราชอาณาจักรจำเลยที่1จึงมิใช่ผู้ขนส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. การฝากส่งสินค้าของโจทก์เป็นการฝากส่งไปรษณียภัณฑ์รับประกันเมื่อไปรษณียภัณฑ์สูญหายจำเลยที่1ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช2477มาตรา29ไปรษณียนิเทศพุทธศักราช2520ข้อ141. จำเลยที่2มิได้รับขนส่งให้โจทก์และมิใช่การขนส่งหลายทอดแต่จำเลยที่2มีหน้าที่ต้องขนส่งให้จำเลยที่1ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช2477มาตรา48ตามที่จำเลยที่1กำหนดให้ส่งทั้งไม่ได้รับแจ้งถึงสภาพและราคาของไปรษณียภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ในถุงไปรษณีย์ที่จำเลยที่1ส่งมอบให้และไม่ปรากฏว่าสินค้าของโจทก์สูญหายไปจากที่แห่งใดถุงไปรษณียภัณฑ์ที่จำเลยที่2รับไปจำเลยที่2ได้ขนส่งไปถึงปลายทางในสภาพเรียบร้อยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่2ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการขนจนเป็นเหตุให้ของหายจำเลยที่2ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393-2394/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจำกัดของไปรษณีย์ในการขนส่งของรับประกันตามกฎหมายและข้อบังคับ
อำนาจหน้าที่และความรับผิดของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในการขนไปรษณียภัณฑ์ต้องบังคับตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2515 และไปรษณียนิเทศพุทธศักราช 2520 มิใช่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จากข้อบังคับของไปรษณียนิเทศ พุทธศักราช 2520 ข้อ 131, 141,143, 146 และ 147 สิ่งของที่ฝากส่งทางไปรษณียภัณฑ์รับประกันมีเฉพาะจดหมายรับประกัน ซึ่งจดหมายรับประกันนี้จะจดแจ้งราคาหรือไม่ก็ได้ การขอให้รับประกันจะขอให้รับประกันเกินกว่าราคาที่แท้จริงของสิ่งของที่บรรจุอยู่ไม่ได้และสิ่งของที่บรรจุอยู่หากมีราคามากกว่า 3,950 บาท ขอรับประกันได้ไม่เกิน 3,950 บาท
ความรับผิดของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในการใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีไปรษณียภัณฑ์รับประกันแตกหักสูญหายต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พุทธศักราช 2520 ข้อ 141 ส่วนมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช 2477 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับไปรษณียภัณฑ์อื่นอันมิใช่จดหมายรับประกัน
จากข้อบังคับของไปรษณียนิเทศ พุทธศักราช 2520 ข้อ 131, 141,143, 146 และ 147 สิ่งของที่ฝากส่งทางไปรษณียภัณฑ์รับประกันมีเฉพาะจดหมายรับประกัน ซึ่งจดหมายรับประกันนี้จะจดแจ้งราคาหรือไม่ก็ได้ การขอให้รับประกันจะขอให้รับประกันเกินกว่าราคาที่แท้จริงของสิ่งของที่บรรจุอยู่ไม่ได้และสิ่งของที่บรรจุอยู่หากมีราคามากกว่า 3,950 บาท ขอรับประกันได้ไม่เกิน 3,950 บาท
ความรับผิดของการสื่อสารแห่งประเทศไทยในการใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีไปรษณียภัณฑ์รับประกันแตกหักสูญหายต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พุทธศักราช 2520 ข้อ 141 ส่วนมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช 2477 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับไปรษณียภัณฑ์อื่นอันมิใช่จดหมายรับประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รายได้จากการเช่ารถให้องค์การขนส่งฯ เป็นรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน มิใช่รายได้จากการขนส่ง
รายได้ที่โจทก์ได้รับจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นค่าเช่าอันเนื่องมาจากโจทก์เอารถยนต์โดยสารปรับอากาศของตนให้องค์การฯเช่าใช้ในการขนส่งประจำทาง ซึ่งเป็นการให้เช่าตัวทรัพย์มิใช่ให้เช่าบริการรายได้ดังกล่าวจึงเป็นรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินซึ่งมิใช่อสังหาริมทรัพย์ตามประเภทการค้า 5 หาใช่รายรับจากการประกอบการขนส่งตามประเภทการค้า 8 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2876-2877/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิและความรับผิดของผู้ขนส่งเมื่อสินค้าสูญหายระหว่างขนส่ง และอายุความการฟ้องร้อง
ในกรณีรับขน สิทธิของผู้ส่งจะตกเป็นของผู้รับตราส่งต่อเมื่อสินค้าไปถึงตำบลที่กำหนดไว้และผู้รับตราส่งเรียกให้ส่งมอบแล้ว กรณีที่สินค้าสูญหายระหว่างการรับขนสิทธิของผู้ส่งหาตกเป็นของ ผู้รับตราส่งไม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า โจทก์ได้มอบสินค้า ให้จำเลยส่งไปให้แก่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศญี่ปุ่นในใบตราส่ง ก็ได้ระบุข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการ ส่งสินค้าตลอดจน ค่าขนส่งฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใด แม้จะกล่าวในตอนท้ายว่าการกระทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ ไม่ได้รับเงินจากลูกค้าก็เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์มุ่งประสงค์จะให้จำเลย รับผิดตามสัญญารับขน สินค้าที่จำเลยรับขนคือพลอยหาใช่หีบห่อหรือกล่องที่ใส่พลอยไม่ เมื่อส่งไปถึงผู้รับตราส่งคงมีแต่หีบห่อหรือกล่องเปล่าย่อมจะถือว่า ของส่งถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งแล้วตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 หา ได้ไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้ส่งมอบสินค้าหรือวันที่ควรจะส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งแต่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยในฐานะผู้ขนส่งฎีกาของจำเลยจึงแตกต่างไปจากที่จำเลยเคยให้การต่อสู้คดีไว้หาใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่สามารถขนส่งสินค้า ของโจทก์ไปให้ลูกค้าได้ตามสัญญาเพราะสินค้าสูญหาย ไปค่าเสียหาย ที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องก็คือราคาสินค้าตามที่กำหนดไว้ใน ใบกำกับสินค้าหากจำเลยเห็นว่าราคาที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป จำเลยก็อาจให้การต่อสู้คดีและนำสืบให้เห็นเช่นนั้นได้โจทก์หาจำต้องระบุรายละเอียดมาในคำฟ้องว่าราคาสินค้าที่เรียกร้องเป็นราคาต้นทุนเท่าใด กำไรเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามใบตราส่งที่จำเลยออกให้โจทก์เห็นได้ว่า จำเลยรับขนส่งสินค้า ซึ่งระบุว่าเป็นพลอย เป็นสินค้ามีค่าได้กำหนดราคาสินค้าและเสีย ค่าขนส่งพิเศษสำหรับสินค้ามีค่าจำเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องขนส่งพลอย ตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งไปให้ผู้รับตราส่งตามที่ได้สัญญาไว้แก่โจทก์ หน้าที่ของจำเลยมิใช่มีเพียงแต่ขนส่งกล่องสินค้าโดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าในกล่องจะมีอยู่หรือไม่ เมื่อสินค้าสูญหายไปไม่ถึงผู้รับตราส่ง จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา616 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะอ้างว่าจำเลยรับสินค้ามาในสภาพที่อยู่ในหีบห่อเรียบร้อยจำเลย มิได้รู้เห็นในการบรรจุสินค้า จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ ทั้งข้ออ้างดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยซึ่งยอมรับว่าได้ทำสัญญารับขนพลอย ตามรายการที่โจทก์ฟ้องแต่อ้างว่าได้ส่งสินค้าไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยไม่มีการสูญหายแล้ว แม้ราคาสินค้าที่โจทก์เรียกจากจำเลยจะรวมกำไรค่าประกันภัย และค่าขนส่งด้วยแต่ก็เป็นราคาสินค้าที่โจทก์ขายให้แก่ผู้ซื้อซึ่งโจทก์ มีสิทธิได้รับหากมีการ ขนส่งถึงมือผู้ซื้อและราคาจำนวนนี้ได้ระบุไว้ ในใบตราส่งซึ่งถือเสมือนสัญญารับขนระหว่างโจทก์จำเลยทั้งจำเลย ก็มิได้นำสืบหักล้างว่าโจทก์มิได้เสียหายตามจำนวนดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามจำนวนที่เรียกร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง ผู้ซื้อต้องรับผิดชอบค่าสินค้าที่เหลือ และการบอกกล่าวทวงหนี้ทำได้ทั้งวาจาและหนังสือ
การบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ค่าสินค้า กฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ ก่อนที่โจทก์จะมีหนังสือถึงจำเลย โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามด้วยวาจาให้จำเลยชำระหนี้แล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระ ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โดยโจทก์ไม่จำต้องมีหนังสือเตือนซ้ำอีก เมื่อตามฟ้องและทางพิจารณาไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์จึงควรได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง