คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความเป็นธรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุพยานหลักฐานล่าช้า ศาลพิจารณาเจตนาและแก้ไขเยียวยาความเสียหายได้ เพื่อความเป็นธรรม
บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88เรื่องระบุพยานหลักฐานนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ตอน คือตอนแรกว่าด้วยการระบุพยานหลักฐานครั้งแรก ตอนที่ 2ว่าด้วยการระบุพยานเพิ่มเติมให้ระบุเพิ่มเติมได้เสมอในเมื่อฝ่ายที่สืบก่อนยังสืบไม่เสร็จ ตอนที่ 3 ว่าด้วย การระบุพยานหลักฐาน จะเป็นระบุครั้งแรกก็ดี ระบุเพิ่มเติมก็ดี หากไม่เข้าตอน 1 และ 2 แล้ว ต้องขออนุญาตศาลก่อน ความประสงค์ของบทบัญญัตินี้ก็เพื่อมิให้คู่ความจู่โจมกันในทางพยานหลักฐานโดยไม่รู้สึกตัว ในทางปฏิบัติจึงชอบที่จะพิจารณาว่า การที่คู่ความฝ่ายใดไม่ระบุพยานภายในกำหนดนั้น เป็นโดยประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดี หรือว่าพลั้งพลาดไป หาได้ประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดีไม่ และการที่ไม่ระบุพยานนั้น มีทางพอจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายหรือไม่ หากเป็นเรื่องไม่ใช่เอาเปรียบและมีทางจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายเช่น อาจให้อีกฝ่ายหนึ่งระบุพยานเพิ่มเติมบ้างเสียค่าเสียหายให้อีกฝ่ายหนึ่งเพราะต้องเลื่อนคดี เป็นต้น ก็ชอบที่ศาลจะใช้อำนาจตามตอน 3 โดยสั่งตามควรแก่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ตัวความตามสมควร
ทนายโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานบุคคลและเอกสารก่อนวันเริ่มต้นสืบพยานนัดแรก 1 วัน อ้างว่าหลงลืม พยานที่ระบุขอสืบก็เป็นตัวโจทก์กับเอกสารสัญญากู้ ซึ่งโจทก์พร้อมที่จะนำเข้าสืบได้ในวันนั้น ในกรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการทำให้จำเลยเสียหายแต่อย่างใด หรือถ้าหากจำเลยจะเสียหายก็มีทางแก้ไขได้โดยศาลย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้เลื่อนคดีไปให้โอกาสจำเลยได้พิจารณาเอกสารและตระเตรียมคดีถ้าจำเลยจะขอค่าเสียหายโดยต้องเลื่อนศาลเห็นสมควรจะพิจารณาให้ด้วยก็ได้เช่นนี้ ย่อมเป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีไปโดยความเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมย์อันแท้จริงของกฎหมาย ศาลควรให้รับระบุพยานของโจทก์ดังกล่าวไว้พิจารณาต่อไป (ควรดูฎีกาที่ 455/2491 และ492/2500ประกอบ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกาศข้อกำหนดทางกฎหมายต้องทำเป็นหนังสือ เพื่อให้มีหลักฐานตรวจสอบได้และเป็นธรรมต่อประชาชน
"ออกประกาศหรือสั่งเป็นหนังสือ"ในมาตรา 18(1) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499 คำว่า"ออกประกาศ"หมายความว่าออกประกาศเป็นหนังสือ หาใช่ออกประกาศด้วยวาจาก็ได้ไม่ เพราะมาตรานี้มุ่งบังคับเอากับประชาชน ถ้าตีความว่าออกประกาศด้วยวาจาก็ใช้ได้ ก็ย่อมปราศจากหลักฐานและเป็นช่องทางให้โต้เถียงกันได้
สัตวแพทย์ประกาศเป็นหนังสือกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราวและประกาศด้วยวาจาให้จำเลยและเจ้าของสัตว์แจ้งจำนวน โค กระบือ และให้นำโคกระบือมาให้ตรวจและฉีดยา จำเลยฝ่าฝืน ยังไม่เป็นความผิดเพราะสัตวแพทย์ประกาศด้วยวาจามิใช่เป็นหนังสือ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรส: หักมูลค่าสินเดิม (ทองคำ) ตามราคาเวลาขาย เพื่อความเป็นธรรมในการแบ่งทรัพย์
มีสายสร้อยทองคำเป็นสินเดิมเมื่อสมรสกันต่อมาได้ขายสายสร้อยสินเดิมเอาเงินมาทำทุนได้ 30 ปีเศษมาแล้วเวลานั้นราคา 600 บาท ครั้นสามีตายต้องแบ่งสินบริคณห์จะคิดราคาสายสร้อยตามราคาปัจจุบันหักสินสมรสใช้ไม่ได้ต้องคิดตามราคา 600 บาท ในเวลาที่ขายทองนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลแรงงานใช้ดุลพินิจพิจารณาเงินเดือนจริงตามข้อเท็จจริง แม้ต่างจากที่ฟ้อง เพื่อความเป็นธรรม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้" แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายเดือนละ 28,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินเดือนค้างจ่าย ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญาจ้างโดยใช้ฐานเงินเดือนดังกล่าว แต่จำเลยให้การว่าโจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายเดือนละ 45,000 บาท การที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงจากคำเบิกความโจทก์และพยานจำเลยที่ยืนยันว่าระหว่างทำงานจำเลยจ่ายเงินเดือนเดือนสุดท้ายให้โจทก์จริงเดือนละ 45,000 บาท จึงใช้ดุลพินิจเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความให้นำเงินเดือนที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ตามความเป็นจริงซึ่งเป็นเงินเดือนสุดท้ายมาเป็นฐานในการคิดเงินเดือนค้างจ่าย ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญาจ้าง ย่อมเป็นการใช้อำนาจที่ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6722/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: นายจ้างต้องสอบสวนลูกจ้างด้วยความเป็นธรรม หากไม่ทำ อาจถูกฟ้องและเลิกจ้างได้
นายจ้างมีหน้าที่ดำเนินการสอบสวนลูกจ้างที่ถูกกล่าวหาโดยตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนในการพิจารณาว่าจะลงโทษทางวินัยต่อลูกจ้างผู้นั้นหรือไม่ ซึ่งการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงนั้นจะต้องมีกระบวนการที่เป็นธรรมให้โอกาสลูกจ้างที่ถูกกล่าวหาชี้แจงแสดงหลักฐานโดยปราศจากการกลั่นแกล้งบังคับข่มขู่ การที่นายจ้างฝ่าฝืนไม่ดำเนินการดังกล่าวและทำให้ลูกจ้างผู้นั้นได้รับความเสียหาย ถือได้ว่านายจ้างผิดสัญญาจ้างและอาจถูกลูกจ้างฟ้องร้องให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 575 ทั้งยังกระทบต่อระบบการระงับความขัดแย้งหรือข้อพิพาทแรงงานในองค์กรของจำเลยอันเป็นผลให้ลูกจ้างและบุคลากรหรือบุคคลอื่นที่รับทราบขาดความไว้วางใจในการบริหารจัดการองค์กรของจำเลย เมื่อโจทก์มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายภาคพื้นอินโดจีนซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของจำเลยและมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากได้รับมอบหมายจากจำเลยให้สอบสวนกรณีการแจกรางวัลชุดโฮมเธียเตอร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พ. ลูกจ้างที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ การสอบสวนของโจทก์จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง โจทก์มีหน้าที่ดำเนินการสอบสวน พ. ลูกจ้างที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมปราศจากการกลั่นแกล้งบังคับข่มขู่รวมทั้งเปิดโอกาสให้ พ. ชี้แจงแสดงหลักฐาน แต่โจทก์ดำเนินการสอบสวนโดยไม่รับฟังคำชี้แจงของ พ. และไม่นำเสนอหลักฐานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ทั้งที่เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. แจกรางวัลชุดโฮมเธียเตอร์ให้แก่ร้าน ศ. ไปโดยลำพัง โดย พ. ไม่ได้เบียดบังเอารางวัลชุดโฮมเธียเตอร์ไป และโจทก์กลั่นแกล้งกล่าวหา พ. ว่าเป็นผู้กระทำผิดแล้วให้เขียนใบลาออก ทำให้ พ. ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้บริหารของจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจำเลยอาจถูกฟ้องร้องให้รับผิดจากการกระทำของโจทก์ได้ และเล็งเห็นผลได้อีกว่าจำเลยอาจได้รับผลกระทบต่อระบบการบริหารจัดการข้อพิพาทแรงงานและระบบการบริหารงานบุคคลในองค์กร กรณีมิใช่เป็นความขัดแย้งหรือการกลั่นแกล้งที่เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวระหว่างลูกจ้างด้วยกันที่ไม่มีผลกระทบต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้าง กรณีดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (2) โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14870/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องล้มละลาย: การตีราคาหลักประกันต้องเหมาะสม เพื่อความเป็นธรรมต่อลูกหนี้ และเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการฟ้อง
ในการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้มีประกัน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 10 (2) บังคับให้โจทก์ต้องตีราคาหลักประกันมาในฟ้อง ซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว เงินยังขาดสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท เนื่องจากเจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันของลูกหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่หลักประกันนั้นได้ก่อนเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ซึ่งเมื่อนำราคาหลักประกันมาหักชำระหนี้แล้ว เงินยังขาดอยู่เท่าใด หนี้ส่วนที่เหลือย่อมเป็นหนี้ธรรมดาเฉกเช่นเดียวกันกับเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ฉะนั้น การตีราคาหลักประกันจึงต้องถูกต้องเหมาะสมด้วย หากตีราคาหลักประกันต่ำเกินสมควรเพียงเพื่อจะให้จำนวนหนี้อยู่ในหลักเกณฑ์ในการฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็จะไม่เป็นธรรมแก่ลูกหนี้ ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาตรวจสอบการตีราคาหลักประกันของโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14666/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานถึงที่สุด ศาลไม่อาจพิพากษาเกินคำสั่งเดิมได้ แม้จะอ้างความเป็นธรรม
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งตามมาตรา 124 แล้ว ถ้านายจ้างลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่พอใจคำสั่งนั้น ให้นำคดีไปสู่ศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง หรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนด ให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุด" เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าภายหลังจากลูกจ้างโจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานจำเลยสอบสวนแล้วมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 111/2550 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2550 ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างค้าง ค่าชดเชยและคืนเงินประกันความเสียหายแก่ลูกจ้างโจทก์โดยวินิจฉัยด้วยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ลูกจ้างโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากโจทก์ การที่โจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเป็นคดีนี้ กรณีจึงมีประเด็นแห่งคดีเพียงว่ามีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งจำเลยที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างค้าง ค่าชดเชยและคืนเงินประกันความเสียหายแก่ลูกจ้างโจทก์หรือไม่เท่านั้น ทั้งไม่ปรากฏว่าลูกจ้างโจทก์ไม่พอใจคำสั่งของจำเลยและนำคดีไปสู่ศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คำสั่งของจำเลยในส่วนสินจ้างหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 125 วรรคสอง การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์จ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างโจทก์เกินไปกว่าคำสั่งของจำเลยซึ่งคำสั่งในส่วนนั้นถึงที่สุดไปแล้ว ทั้งมิใช่กรณีเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความที่ศาลแรงงานกลางจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 ได้ จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12162/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์ล้มละลาย: ศาลลดค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับหนี้คงค้าง เพื่อความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้
เมื่อจำเลยประสงค์จะชำระหนี้ที่เหลือรวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเพื่อถอนการยึดทรัพย์ หากให้จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 (3) (เดิม) โดยไม่พิจารณายอดหนี้ที่เหลือที่จำเลยต้องรับผิดประกอบด้วย ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการไม่ยุติธรรมแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง เมื่อพิจารณาว่าจำเลยพยายามขวนขวายชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งประสงค์ที่จะชำระหนี้ทั้งหมด แสดงว่าจำเลยมีความสุจริตในการดำเนินคดีและมีเหตุอันสมควร อาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่งประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 (เดิม) จึงกำหนดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ในขอบเขตของยอดหนี้ที่ค้างชำระขณะยึดทรัพย์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8183/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินค่าทดแทนผู้เสียหาย/จำเลยในคดีอาญาตาม พ.ร.บ. 2544 เป็นเงินที่รัฐจ่ายเพื่อความเป็นธรรม จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและ ค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 บัญญัติขึ้นโดยมีเจตนารมณ์เพื่อรับรองสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐของบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นโดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้น และไม่มีโอกาสได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่น รวมทั้งการรับรองสิทธิในการได้รับค่าทดแทนในกรณีของบุคคลซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีอาญาและถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี หากปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด และการรับรองสิทธิดังกล่าวนี้ก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลายฉบับ ดังนั้น เงินที่จะได้รับตามพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นเงินที่รัฐจ่ายเป็นค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม สิทธิของจำเลยที่จะได้รับเงินนั้น จึงเป็นสิทธิที่มีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิของลูกหนี้ในทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เงินดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเงินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 285 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16093/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาสำเร็จรูปที่ไม่เป็นธรรม ค่าธรรมเนียมแรกเข้าคืนได้บางส่วนตามความเป็นธรรม
เมื่อสัญญาประกอบอาหาร/เครื่องดื่ม ศูนย์อาหารเรนทรี ฟู้ด สแควร์ เป็นสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาใช้แก่ผู้ค้าที่ประสงค์จะทำสัญญาประกอบอาหาร/เครื่องดื่มในศูนย์อาหารดังกล่าวทุกคน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาสำเร็จรูป จำเลยที่ 1 เป็นผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป ข้อตกลงในส่วนที่เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมแรกเข้าจึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและมีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 โดยมิพักต้องคำนึงว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ค่าธรรมเนียมแรกเข้าจำนวน 720,000 บาท โจทก์ได้จ่ายเพื่อได้สิทธิในการประกอบอาหารในศูนย์อาหารดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 ปี เท่ากับเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท แม้ในการประกอบธุรกิจศูนย์อาหารของจำเลยที่ 1 นี้จะมีค่าใช้จ่ายและค่าบริหารจัดการ และจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากส่วนแบ่งรายได้ของยอดขายอาหารของโจทก์ ก็หาทำให้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาร่วมลงทุนไม่ เมื่อได้ความว่าโจทก์เข้าใช้ประโยชน์ตามสิทธิที่ระบุในสัญญาได้เพียงประมาณ 6 เดือน แล้วมีการเลิกสัญญาและไม่ปรากฏว่าหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 หาผู้มาใช้ประโยชน์ต่อจากโจทก์ไม่ได้ ข้อตกลงในสัญญากำหนดให้โจทก์ไม่มีสิทธิรับเงินค่าธรรมเนียมแรกเข้าคืนเลยย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์คิดหักค่าใช้ประโยชน์จากศูนย์อาหารดังกล่าวตามระยะเวลาที่โจทก์ได้ใช้สิทธิออกจากเงินค่าธรรมเนียมแรกเข้าแล้วกำหนดให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 600,000 บาท ที่เหลือแก่โจทก์ แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าธรรมเนียมแรกเข้าแก่โจทก์เพียง 515,500 บาท และโจทก์พอใจไม่อุทธรณ์โต้แย้งนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ศาลอุทธรณ์จึงกำหนดเงินค่าธรรมเนียมแรกเข้าที่จำเลยที่ 1 ต้องคืนให้แก่โจทก์เท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานับเป็นการใช้ดุลพินิจพิเคราะห์ถึงอำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจและทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญา เพื่อให้ข้อสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีโดยชอบแล้ว
of 13