พบผลลัพธ์ทั้งหมด 129 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลเหนือกว่าสิทธิเจ้าหนี้ แม้มีการยึดทรัพย์ก่อน
ตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาแสดงว่าการยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ถูกต้อง สิทธิตามคำพิพากษานั้นก็ยังคงอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาตามยอม ย่อมมีอำนาจก่อนเจ้าหนี้ แม้มีการยึดทรัพย์
ตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาแสดงว่าการยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ถูกต้อง สิทธิตามคำพิพากษานั้นก็ยังคงอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมผูกพันคู่ความ การอ้างสำคัญผิดเพื่อเพิกถอนทำไม่ได้
โจทก์จำเลยตกลงประณีประนอมยอมความกันในศาลจนศาลพิพากษาบังคับคดีไปตามยอมแล้ว ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาคดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้จำเลยจะกลับมาฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอม โดยอ้างว่าตนทำยอมไปโดยสำคัญผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมผูกพันคู่ความ การอ้างสำคัญผิดเพื่อเพิกถอนคำพิพากษาหลังศาลบังคับคดีแล้วจึงทำไม่ได้
โจทก์จำเลยตกลงประณีประนอมยอมความกันในศาลจนศาลพิพากษาบังคับคดีไปตามยอมแล้ว ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาคดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้จำเลยจะกลับมาฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอม โดยอ้างว่าตนทำยอมไปโดยสำคัญผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1315/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินหลังมีคำพิพากษาตามยอม และการเรียกร้องสิทธิในที่ดินโดยอ้างเป็นมรดก
โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันต่อศาล และศาลพิพากษาตามยอมว่าที่ดินตามหนังสือสัญญาซื้อขายด้านกว้างยาวและทิศติดต่อปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายตามบัญชีท้ายคำร้องรวมเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 45 วาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เหลือที่ดินนอกสัญญาซื้อขายให้เป็นกรรมสิทธิ์กับจำเลยต่อไป แต่มิได้มีการทำแผนที่ในคดีนั้นแต่อย่างใดนั้น เป็นการพิพากษาคดีไปตามข้อตกลงของคู่ความ หาได้พิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยว่ามีอยู่แค่ไหนเพียงไรไม่ ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่าเนื้อที่ตามสัญญาซื้อขายที่ยอมความกันนั้น เจ้าพนักงานลงเนื้อที่ผิดไป โจทก์ได้ขอให้แก้เสียใหม่ให้ถูกต้องเป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 46 วา แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยอ้างว่า สามีโจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากมารดาจำเลย แล้วสามีโจทก์กับโจทก์ได้ปกครองที่แปลงนี้ ต่อมาจำเลยมาขัดขวางสิทธิโดยไปร้องขอจัดการมรดกมารดาจำเลยขอให้แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ซึ่งปรากฏในคดีก่อนนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โจทก์จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทนี้ เป็นมรดกของสามีโจทก์ตกเป็นของโจทก์และบุตรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม แม้มีการฟ้องคดีขอทำลายสัญญายอมแล้ว ก็มิอาจทุเลาการบังคับคดีได้
ศาลได้พิพากษาตามที่โจทก์จำเลยยอมความกันให้ขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าของโจทก์ ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยจึงถูกขับไล่ตามคำพิพากษานั้นด้วย ผู้ร้องฎีกาคำสั่งที่ให้ขับไล่ และขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลา บัดนี้ผู้ร้องอ้างว่าได้ฟ้องโจทก์,จำเลยต่อศาลขอให้ทำลายสัญญายอมนั้นแล้ว จึงขอให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเหตุผลที่ผู้ร้องอ้างไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม แม้มีการฟ้องคดีขอทำลายสัญญายอมแล้ว ก็มิอาจทุเลาการบังคับคดีได้
ศาลได้พิพากษาตามที่โจทก์จำเลยยอมความกันให้ขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าของโจทก์ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยจึงถูกขับไล่ตามคำพิพากษานั้นด้วยผู้ร้องฎีกาคำสั่งที่ให้ขับไล่ และขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลาบัดนี้ผู้ร้องอ้างว่าได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลขอให้ทำลายสัญญายอมนั้นแล้ว จึงขอให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเหตุผลที่ผู้ร้องอ้างไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมเด็ดขาดแล้ว ไม่อาจอ้างกฎหมายมาเปลี่ยนแปลงผลได้
ศาลได้พิพากษาตามยอม และมีคำสั่งท้ายคำพิพากษานั้นว่า บังคับตามยอมและต่อมาออกหมายบังคับคดีต่อจำเลยอีก ดังนี้แสดงว่า มีคำบังคับแล้ว
เมื่อจำเลยทำยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่า และศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้เป็นคำพิพากษาที่เด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว จะอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า มาเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้
เมื่อจำเลยทำยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่า และศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้เป็นคำพิพากษาที่เด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว จะอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า มาเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมเด็ดขาดแล้ว ไม่อาจอ้างกฎหมายเฉพาะมาเปลี่ยนแปลงผลได้
ศาลได้พิพากษาตามยอมและมีคำสั่งท้ายคำพิพากษานั้นว่าบังคับตามยอมและต่อมาออกหมายบังคับคดีต่อจำเลยอีก ดังนี้แสดงว่า มีคำบังคับแล้ว
เมื่อจำเลยทำยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่า และศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้เป็นคำพิพากษาที่เด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว จะอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่ามาเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้
เมื่อจำเลยทำยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่า และศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้เป็นคำพิพากษาที่เด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว จะอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่ามาเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9949/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมผูกพันคู่ความ หากไม่โต้แย้งภายในกำหนดเวลา ย่อมถึงที่สุด แม้จะมีเหตุภายหลังก็ไม่อาจเพิกถอนได้
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว นอกจากทนายความทั้งสองฝ่ายมาศาล ยังปรากฏว่าตัวความทั้งสองฝ่ายมาศาล และได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็มีทางดำเนินคดีต่อไปเพียงประการเดียวคืออุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงแก้ไข หากเข้ากรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง ภายในกำหนดเวลา หนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามยอมนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว คำพิพากษาตามยอมนั้นย่อมถึงที่สุด ไม่อาจที่จะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ แม้จำเลยจะอ้างว่าเพิ่งทราบเหตุที่ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังว่า คำพิพากษาตามยอมตกเป็นโมฆะเพราะขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้
คดีนี้โจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสจำเลย เป็นคดีที่ไม่มีผู้เยาว์เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์เกี่ยวข้อง โจทก์และจำเลยต่างแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ต้องการผู้พิพากษาสมทบเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษา ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10 ตุลาคม 2555 ดังนั้น ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งไม่น้อยกว่าสองคนย่อมเป็นองค์คณะพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ได้ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 147 วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่
คดีนี้โจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสจำเลย เป็นคดีที่ไม่มีผู้เยาว์เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์เกี่ยวข้อง โจทก์และจำเลยต่างแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ต้องการผู้พิพากษาสมทบเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษา ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10 ตุลาคม 2555 ดังนั้น ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งไม่น้อยกว่าสองคนย่อมเป็นองค์คณะพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ได้ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 147 วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่