พบผลลัพธ์ทั้งหมด 170 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ้างงานโดยคณะกรรมการอาคารชุด: ไม่อาจถือเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 และไม่อยู่ภายใต้ประกาศคุ้มครองแรงงาน
เดิมจำเลยที่ 1 จ้างเหมาบริษัทเอกชนดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัยในบริเวณเคหะชุมชนคลองจั่น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2526 จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอาคารชุดเคหะชุมชนคลองจั่นรับงานดังกล่าวมาดำเนินการเอง จำเลยที่ 1 เพียงแต่ให้เงินอุดหนุนเท่านั้น ส่วนการบริหารงานจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 มีอำนาจอิสระอย่างเด็ดขาดไม่จำต้องฟังคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการบริหารงาน กรณีไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสิบห้าซึ่งจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 จ้างเข้ามาทำงานดังกล่าว และแม้กิจการของจำเลยที่ 1 เป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจก็หาทำให้กิจการของจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 กลายเป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจไปด้วยไม่ การจ้างงานของจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 จึงไม่อยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ้างงานอิสระของคณะกรรมการอาคารชุด: ไม่อยู่ในบังคับประกาศคุ้มครองแรงงาน
เดิม จำเลยที่ 1 จ้างเหมาบริษัทเอกชนดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัยในบริเวณเคหะชุมชนคลองจั่นต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2526 จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 ซึ่ง เป็นคณะกรรมการอาคารชุดเคหะชุมชนคลองจั่น รับงานดังกล่าวมาดำเนินการเอง จำเลยที่ 1 เพียงแต่ ให้เงินอุดหนุนเท่านั้น ส่วนการบริหารงานจำเลยที่ 2ถึง ที่ 61 มีอำนาจอิสระอย่างเด็ดขาดไม่จำต้องฟังคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการบริหารงานกรณีไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสิบห้าซึ่ง จำเลยที่ 2ถึง ที่ 61 จ้าง เข้ามาทำงานดังกล่าว และแม้กิจการของจำเลยที่ 1เป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจก็หาทำให้กิจการของจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 กลายเป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจไปด้วยไม่ การจ้างงานของจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 61 จึงไม่อยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงเรียนเอกชนไม่ใช่กฎหมายคุ้มครองแรงงาน การฟ้องเลิกจ้างไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
พระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มีวัตถุประสงค์ควบคุมโรงเรียนเอกชนให้เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ มิใช่กฎหมายซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง หรือเพื่อแสวงหาและคุ้มครองประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างหรือกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอันเป็นวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แม้ใน พระราชบัญญัติ ดังกล่าวจะกำหนดการคุ้มครองการทำงานและการสงเคราะห์ครูใหญ่และครู หรือกำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองการทำงาน และการอุทธรณ์ก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิใช่กฎหมายที่จะขจัดข้อพิพาทระหว่างครูใหญ่และครูกับผู้รับอนุญาตหรือผู้จัดการแต่อย่างใด ดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนเอกชนฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกรณีถูกจำเลยเลิกจ้างจึงหาจำต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 แต่อย่างใดไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5257/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองแรงงาน: ลูกจ้างประสบอันตรายจากการทำงานตามคำสั่ง แม้เป็นการติดตั้งส่วนตัวของผู้บริหาร
ผู้จัดการโรงงานของบริษัทนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างไปติดตั้งท่อประปาที่บ้านของผู้จัดการบริษัทนายจ้างซึ่งซื้อท่อประปาจากนายจ้างได้ในราคาพิเศษ เช่นเดียวกับลูกค้าที่ขอให้ไปทำการติดตั้งบริษัทนายจ้างก็จะจัดการติดตั้งท่อประปาให้โดยลูกจ้างลงเวลาทำงานในบัตรลงเวลาทำงานและเดินทางไปปฏิบัติงานโดยรถยนต์ของนายจ้าง การที่ลูกจ้างประสบอันตราย ถึงแก่ความตายขณะทำการติดตั้งท่อประปาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองแรงงาน: บาดเจ็บจากอุบัติเหตุระหว่างทำงาน แม้ไม่บรรยายถึงการสูญเสียอวัยวะโดยตรง ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนซึ่งจำเลยเป็นประธานและวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับอันตรายโดยประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่ แพทย์ลงความเห็นว่ากระดูกต้นขาขวาและกระดูกหน้าแข้งแตกละเอียด เข่าขวาจะงอพับไม่ได้ตลอดไป กระดูกอักเสบเป็นหนองเรื้อรังที่ขาขวาตลอดไป ดังนี้ โจทก์ได้บรรยายถึงบาดแผลของโจทก์ที่เกิดจากอุบัติเหตุและผลที่ได้รับจากอุบัติเหตุนั้นแล้ว ทั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 54 วรรคสอง มีข้อความว่า การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยซึ่งเป็นเหตุให้สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะไปเพียงบางส่วน ให้ถือว่าลูกจ้างสูญเสียอวัยวะนั้นด้วย ฯ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพด้วยไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2762-2765/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน: สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาและองค์การค้าคุรุสภา
ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทำงานในวันหยุดจากจำเลย (คุรุสภา) หรือไม่ เพียงใดเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นว่า องค์การค้าของคุรุสภา และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาเป็นหน่วยงานของคุรุสภาองค์การค้าของคุรุสภาเป็นหน่วยงานที่หารายได้ส่วนสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาที่โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ประจำอยู่นั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานในหน้าที่ของคุรุสภาการที่ศาลแรงงานกลางกำหนดปัญหาวินิจฉัยว่า'สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาอยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือไม่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือไม่' จึงเป็นการพิจารณาเพื่อจะนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้
ตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 อำนาจหน้าที่ของคุรุสภา ซึ่งดำเนินงานโดยสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์การค้าของคุรุสภาที่มีการบริหารงานแยกไปต่างหาก จากสำนักงานเลขาธิการพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นคนละส่วน กันผู้บังคับบัญชาในการบริหารของหน่วยงานทั้งสองเป็น คนละคนระเบียบข้อบังคับที่ใช้ในแต่ละหน่วยก็แยกต่างหากจากกัน เมื่อสำนักงานเลขาธิการคุรุสภามิได้มีการ ดำเนินงานเพื่อหารายได้มาแบ่งปันกันระหว่างพนักงานแสดงว่า จำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจจำเลยหาต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่
ตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 อำนาจหน้าที่ของคุรุสภา ซึ่งดำเนินงานโดยสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์การค้าของคุรุสภาที่มีการบริหารงานแยกไปต่างหาก จากสำนักงานเลขาธิการพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นคนละส่วน กันผู้บังคับบัญชาในการบริหารของหน่วยงานทั้งสองเป็น คนละคนระเบียบข้อบังคับที่ใช้ในแต่ละหน่วยก็แยกต่างหากจากกัน เมื่อสำนักงานเลขาธิการคุรุสภามิได้มีการ ดำเนินงานเพื่อหารายได้มาแบ่งปันกันระหว่างพนักงานแสดงว่า จำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจจำเลยหาต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นการคุ้มครองแรงงานของการท่าอากาศยานฯ และอำนาจฟ้องของลูกจ้าง
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2522 มาตรา 6 บัญญัติให้กิจการของการท่าอากาศยานไม่ตกอยู่ใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน อันเป็นกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ.2522 มาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมาย จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายคุ้มครองแรงงานเมื่อคดีนี้ไม่มีข้อโต้แย้งว่าข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยกำหนดสิทธิของโจทก์ให้ได้รับความคุ้มครองแรงงานน้อยกว่าที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานบัญญัติไว้โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท่าอากาศยานฯ และสิทธิแรงงาน: การยกเว้นบังคับกฎหมายแรงงาน แต่ต้องคุ้มครองไม่น้อยกว่ากฎหมายกำหนด
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2522มาตรา 6 บัญญัติให้กิจการของการท่าอากาศยานไม่ตกอยู่ใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานอันเป็นกฎหมายคุ้มครองแรงงานและอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ.2522 มาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมาย จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายคุ้มครองแรงงานเมื่อคดีนี้ไม่มีข้อโต้แย้งว่าข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยกำหนดสิทธิของโจทก์ให้ได้รับความคุ้มครองแรงงานน้อยกว่าที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานบัญญัติไว้โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขัดประกาศคุ้มครองแรงงาน แม้โจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งมีผลเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อโจทก์ทำ สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมรับเงินช่วยเหลือจากจำเลย ไปจำนวนหนึ่งแล้ว โดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรจากจำเลยอีก จึงมีผลเป็นว่า โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชย หรือโจทก์ยอมสละข้อหานี้ โดยโจทก์ ไม่ประสงค์จะขอให้ศาลบังคับเอากับจำเลยอีกต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงหาขัดต่อ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน อันตกเป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองแรงงาน: การตายจากการทำงานถือเป็นการประสบอันตราย นายจ้างต้องจ่ายค่าทดแทน
ลูกจ้างไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน ได้ออกปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา โดยทำการล้างหินอัดหินตามทางรถไฟซึ่งเป็นที่กลางแจ้ง ต้องก้ม ๆ เงย ๆ พอถึงเวลา 10.30 นาฬิกา อากาศร้อนอบอ้าว เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมถึงแก่ความตาย ดังนี้ เป็นการตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยตรง
การที่จำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมแรงงานสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่พนักงานเงินทดแทนสั่งโดยที่นายจ้างแต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเงินทดแทนนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณา ของศาล จึงนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก ไปใช้บังคับหรือเทียบเคียงมิได้ ดังนั้น เมื่อจำเลยเห็นว่าสิ่งที่พนักงานเงินทดแทนสั่งไปผิดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ก็ย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้
การที่จำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมแรงงานสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่พนักงานเงินทดแทนสั่งโดยที่นายจ้างแต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเงินทดแทนนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณา ของศาล จึงนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก ไปใช้บังคับหรือเทียบเคียงมิได้ ดังนั้น เมื่อจำเลยเห็นว่าสิ่งที่พนักงานเงินทดแทนสั่งไปผิดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ก็ย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้