พบผลลัพธ์ทั้งหมด 177 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวน การปรับบทกฎหมาย และพฤติการณ์แห่งคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 300/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบช่วยเหลือผู้กระทำผิดตัดไม้ในเขตป่าสงวน มีความผิดตามมาตรา 200
จำเลยที่ 1 เป็นนายอำเภอ จึงเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสืบสวนสอบสวนความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ หรือความผิดอาญาอื่นใดที่เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของตนได้ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ให้ตำรวจเป็นผู้ทำการสอบสวนฝ่ายเดียวนั้นเป็นแต่ระเบียบภายในกระทรวง หาได้ลบล้างอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติด้วยตนเองได้ทั้งผู้ต้องหาและไม้กับรถยนต์มาเป็นของกลาง การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้สิบตำรวจเอกพ. ทำบันทึกว่าได้แต่ไม้ของกลางอย่างเดียว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะช่วยผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องรับโทษและในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยผู้ต้องหาไปนั้น จำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้สั่งการและรู้เห็นด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 จำเลยที่ 2 เป็นป่าไม้อำเภอ ได้ร่วมไปจับกุมผู้ต้องหากับจำเลยที่ 1 ด้วย ชั้นแรกจำเลยที่ 2 ได้ให้สิบตำรวจเอก พ. เขียนบันทึกการจับกุมว่าได้ผู้ต้องหา 7 คน แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้สั่งให้ทำบันทึกการจับกุมขึ้นใหม่ว่าจับผู้ต้องหาไม่ได้เลย และให้ผู้ร่วมจับกุมรวมทั้งจำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ การที่จำเลยที่ 2 ยอมลงชื่อในบันทึกการจับกุมฉบับหลังนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมทราบอยู่แล้วว่าบันทึกฉบับนี้ทำขึ้นฝ่าฝืนต่อความจริงเพื่อจะช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ากระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ด้วย ทั้งจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสารวัตรปกครองป้องกัน และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนต่างทราบแล้วว่า ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนที่ถูกจับมาต้องหาว่ากระทำผิดฐานลักลอบตัดไม้ในป่า แต่แทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาในข้อหาดังกล่าว จำเลยที่ 3 กลับตั้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาเหล่านี้ว่ากระทำผิดฐานขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวและให้จำเลยที่ 4 ทำการเปรียบเทียบปรับแล้วปล่อยผู้ต้องหาและรถของกลางไป การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4จึงเป็นการกระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะช่วยเหลือผู้กระทำผิดมิให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และที่จำเลยที่ 3ที่ 4 อ้างว่าปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชานั้นเมื่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในเรื่องนี้มิใช่คำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบดีอยู่แล้วจึงจะอ้างมาเป็นเหตุยกเว้นโทษหาได้ไม่ จำเลยที่ 5 เป็นสารวัตรใหญ่ซึ่งทราบดีว่าในการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้รายนี้ นอกจากไม้แล้วยังได้ตัวผู้ต้องหาและได้รถยนต์บรรทุกไม้มาเป็นของกลางด้วย แต่จำเลยที่ 5กลับบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้กระทำผิดและให้มีการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาในข้อหาอื่นที่มิใช่ข้อหาเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ และเป็นผู้สรุปความเห็นให้งดการสอบสวนเสนอต่อผู้กำกับการตำรวจว่าจับไม้ไม่ได้ตัวผู้กระทำผิด ได้แต่ไม้ของกลาง การกระทำของจำเลยที่ 5 ดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ช่วยเจ้าของรถยนต์เจ้าของไม้ และช่วยผู้ต้องหาที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริต และสิทธิของผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินป่าสงวน
ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งต้องห้ามมิให้ยึดถือครอบครองหากโจทก์ซื้อโดยทราบอยู่ก่อนว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ การซื้อของโจทก์ย่อมเป็นไปโดยไม่สุจริตแม้เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330นอกจากนี้ในระหว่างราษฎรด้วยกันจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์การที่จำเลยแถลงรับในชั้นชี้สองสถานว่าจำเลยไม่มีน.ส.3 สำหรับที่พิพาทยังไม่เพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีคดีจึงจำต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองป่าสงวนต่อเนื่อง: การขุดดินทำคันนาไม่ใช่การทำลายป่าใหม่
จำเลยขุดดินทำคันนาในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุอันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อนคือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว การขุดดินทำคันนาเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองที่ดินป่าสงวนต่อเนื่อง: ไม่ถือเป็นการทำลายป่าใหม่ แม้มีการขุดดิน
จำเลยขุดดินทำคันนาในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุอันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อนคือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว การขุดดินทำคันนาเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3699-3700/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนโดยไม่มีเจตนา กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเจตนาในการกระทำผิด จึงไม่มีความผิด
การที่จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำ ของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด จำเลยไม่มีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองนั้น เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้าย เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรานี้แล้วศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองนั้น เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้าย เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรานี้แล้วศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3699-3700/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสำคัญในการกระทำผิดป่าสงวน หากไม่ทราบว่าที่ดินเป็นป่าสงวน ไม่อาจถือว่ามีความผิดได้
การที่จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำ ของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด จำเลยไม่มีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองนั้น เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้ายเมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรานี้แล้วศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองนั้น เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้ายเมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรานี้แล้วศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมในความผิดป่าสงวน: การบรรยายฟ้องที่ขัดแย้งกันระหว่างการทำไม้เองและการรับซื้อ
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยเป็น 2 ข้อหาโดยตอนแรกบรรยายว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันชักลากและนำไม้ตะแบกซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติข้อหาหนึ่ง กับบรรยายฟ้องต่อไปว่า หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้ามโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ผู้ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติอีกข้อหาหนึ่ง การที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ทำไม้โดยมิได้รับอนุญาต ส่วนตอนหลังโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้รับไว้ ซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้หวงห้าม เท่ากับฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำไม้ แต่เป็นผู้รับไม้ไว้จากบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ทำไม้ เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2914/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดายหญ้าในเขตป่าสงวนฯ ถือเป็นการแผ้วถางป่า ผู้รับจ้างต้องรับผิดในฐานะตัวการ
การดายหญ้าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ่คือการก่อสร้างหรือแผ้วถางในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แม้จำเลยจะกระทำโดยรับจ้างหรือถูกใช้ให้กระทำ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หาใช่จะถือว่าผู้รับจ้างไม่มีเจตนาที่จะแผ้วถางป่าไม้
จอบที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
จอบที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507