พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติด ศาลยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอและคำรับสารภาพไม่น่าเชื่อถือ
ส. ได้ขับรถยนต์กระบะของจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุ จนถึงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ และก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะติดตามรถยนต์กระบะไปบ้าน ส. เพื่อตรวจค้นและจับกุม ส. ก็ยังขับรถยนต์กระบะโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองได้นั่งอยู่ในรถยนต์กระบะกับ ส. หรือได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์กระบะแต่อย่างใด กลับได้ความว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปที่บ้านของ ส. พบจำเลยทั้งสองอยู่ที่บ้านของ ส. แต่ ส. ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะได้หลบหนีไปก่อนจะมีการตรวจค้นและจับกุม ดังนี้ จึงไม่อาจเป็นข้อบ่งชี้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่ค้นพบในรถกระบะของจำเลยเป็นของจำเลยทั้งสองแต่อาจเป็นของ ส. ก็เป็นได้ แม้โจทก์มีคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุม แต่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยทั้งสองจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสอง
ศาลจะสั่งริบเมทแอมเฟตามีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 ได้ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิด ศาลริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
ธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน 30,000 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งการริบทรัพย์สินเป็นโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) จึงต้องมีการฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าวและพิสูจน์ความผิดของจำเลยต่อศาลเสียก่อน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยถึงการกระทำดังกล่าวในครั้งก่อนโดยตรง เพียงแต่กล่าวพาดพิงว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากการขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้นจึงยังไม่เป็นการเพียงพอ ศาลไม่อาจริบเงิน30,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้
ศาลจะสั่งริบเมทแอมเฟตามีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 ได้ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิด ศาลริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
ธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน 30,000 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งการริบทรัพย์สินเป็นโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) จึงต้องมีการฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าวและพิสูจน์ความผิดของจำเลยต่อศาลเสียก่อน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยถึงการกระทำดังกล่าวในครั้งก่อนโดยตรง เพียงแต่กล่าวพาดพิงว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากการขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้นจึงยังไม่เป็นการเพียงพอ ศาลไม่อาจริบเงิน30,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1677/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับที่ไม่ชอบเมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องฐานมีไม้แปรรูป ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ ลงโทษจำเลยฐาน มีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐาน มีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง กรณีจึงไม่มีความผิดที่จำเลยต้องรับโทษตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ที่จะสั่งให้จ่ายเงินสินบน นำจับตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยมิได้แก้ไขคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จ่ายเงินสินบนนำจับตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ จึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลสำคัญกว่าพยานหลักฐานอื่น หากพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ ศาลต้องยกฟ้อง
แม้โจทก์มีประจักษ์พยาน แต่คำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามปากสับสนและขัดต่อเหตุผลเป็นเหตุให้ไม่น่าเชื่ออยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสนใจคนร้ายที่เดินเข้ามาในซอยเกิดเหตุ แสงสว่าง ตลอดจนการชี้ตัวคนร้ายที่สถานีตำรวจแสดงให้เห็นว่า การเห็นและจดจำคนร้ายของพยานโจทก์ทั้งสามไม่มีความแน่นอนรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำงานขยันขันแข็งและแม้หลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วยังช่วยทำงานให้กับนายจ้างซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เสียหายซึ่งไม่ยอมให้จำเลยลาออกจากงานอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8946/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการปล้นทรัพย์ – อายุความความผิดฐานทำร้ายร่างกาย – ศาลยกฟ้อง
การที่พวกของจำเลยได้กระชากสร้อยคอของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไปในระหว่างที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเจตนาทุจริตของพวกจำเลยที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำร้ายเฉพาะหน้าจำเลยอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยไม่คาดคิดมาก่อน และไม่ทราบว่าพวกของจำเลยมีอาวุธมีดที่ใช้ฟันผู้เสียหายที่ 2 ติดตัวมาด้วย ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการกระทำของพวกจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ร่วมมีเจตนาทุจริตกับพวกจำเลยด้วย จำเลยไม่ต้องรับผลในการกระทำของพวกจำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 340 โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังชกต่อยผู้เสียหายทั้งสอง แม้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย แต่เนื่องจากความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าไม่ได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันกระทำผิด คดีย่อมขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 95 (5) เมื่อคดีนี้จำเลยกระทำผิดวันที่ 3 กรกฎาคม 2537 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2540 ซึ่งเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 340 โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังชกต่อยผู้เสียหายทั้งสอง แม้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย แต่เนื่องจากความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าไม่ได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันกระทำผิด คดีย่อมขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 95 (5) เมื่อคดีนี้จำเลยกระทำผิดวันที่ 3 กรกฎาคม 2537 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2540 ซึ่งเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8794/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาซื้อขายที่ดินซ่อนรูปในสัญญาเงินกู้ ศาลฎีกาวินิจฉัยกลับให้ยกฟ้อง
จำเลยให้การว่า สัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์กับผู้มีชื่อ ซึ่งโจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการซื้อขายแทนโจทก์ เป็นคำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งแล้วในเหตุแห่งการปฏิเสธ และเป็นคำให้การที่อ่านเข้าใจได้ว่า นิติกรรมอันแท้จริงที่ถูกอำพรางไว้ คือนิติกรรมที่โจทก์มอบหมายให้จำเลยซื้อขายที่ดินแทนโจทก์แต่โจทก์จำเลยได้ทำนิติกรรมด้วยการแสดงเจตนาลวงไว้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์
ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นพิพาทว่า สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นผู้เจรจาขอซื้อที่ดินจนเป็นที่ตกลงในราคา 220,000 บาท โจทก์เป็นผู้วางมัดจำ10,000 บาท และทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ แล้วโจทก์มอบหมายให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินแทน ลงชื่อสามีจำเลยเป็นผู้ซื้อ ซึ่งโจทก์ออกเงินค่าที่ดินอีก 200,000 บาท จึงเป็นเรื่องเดียวกับข้อต่อสู้ของจำเลยและประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้ และแม้จำเลยจะนำสืบด้วยว่า โจทก์เข้าหุ้นกับจำเลย ก็พอฟังได้ว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ซื้อที่ดินแล้วใช้ที่ดินมาเข้าหุ้น ทางนำสืบของจำเลยอยู่ในขอบเขตของข้อต่อสู้ในคำให้การและประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้ ย่อมไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง
ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นพิพาทว่า สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นผู้เจรจาขอซื้อที่ดินจนเป็นที่ตกลงในราคา 220,000 บาท โจทก์เป็นผู้วางมัดจำ10,000 บาท และทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ แล้วโจทก์มอบหมายให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินแทน ลงชื่อสามีจำเลยเป็นผู้ซื้อ ซึ่งโจทก์ออกเงินค่าที่ดินอีก 200,000 บาท จึงเป็นเรื่องเดียวกับข้อต่อสู้ของจำเลยและประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้ และแม้จำเลยจะนำสืบด้วยว่า โจทก์เข้าหุ้นกับจำเลย ก็พอฟังได้ว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ซื้อที่ดินแล้วใช้ที่ดินมาเข้าหุ้น ทางนำสืบของจำเลยอยู่ในขอบเขตของข้อต่อสู้ในคำให้การและประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้ ย่อมไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432-7440/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้อถอนบ้านบนที่ดินสาธารณะ: ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเนื่องจากบ้านไม่ได้อยู่ติดที่ดินโจทก์
เดิมมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934-1936/2534 วินิจฉัยว่า ทางเดินหน้าบ้านจำเลยเป็นที่ดินของโจทก์นั้น ในชั้นฎีกาเป็นคดีที่โจทก์พิพาทกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับบ้านหลังอื่น ซึ่งไม่ใช่บ้านพิพาทของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 แม้จำเลยที่ 4 เป็นคู่ความด้วยก็อยู่ในฐานะเจ้าของบ้านเลขที่ 31 ซึ่งเป็นคนละหลังกับบ้านพิพาทของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้แต่ในส่วนบ้านพิพาทคดีนี้โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยทั้งเจ็ดและเจ้าของเดิมของบ้านพิพาทโดยอ้างเหตุว่าบ้านของจำเลยทั้งเจ็ดปลูกสร้างบนที่ดินโจทก์ คดีถึงที่สุดว่าที่ดินปลูกบ้านพิพาทและทางเดินหน้าบ้านของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นที่สาธารณะ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก ไม่ต้องนำมาตรา 145(2) มาใช้ ดังนั้นบ้านจำเลยทั้งเจ็ดไม่อยู่ติดต่อกับที่ดินโจทก์เพราะมีทางสาธารณะคั่นอยู่ บ้านจำเลยทั้งเจ็ดย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์จะสร้างพนังกั้นน้ำหรือทำเขื่อนเพื่อป้องกันดินพังโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนบ้านออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6697/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาซ้ำข้อหาเดิมที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้ลงโทษจำเลยในฐานร่วมเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และยิงผู้เสียหาย แต่กระสุนปืนไม่ถูก อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 91,288 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล่อซื้อยาเสพติด - พยานหลักฐานไม่เพียงพอ - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
เจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย 1 เม็ด แต่ในการล่อซื้อนั้นสายลับไปล่อซื้อโดยลำพังเพียงคนเดียวไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปเฝ้าดู แต่อย่างใด และจากการตรวจค้นที่บ้านจำเลยก็ไม่พบเมทแอมเฟตามีน แม้จะค้นพบธนบัตรของกลางจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่แขวนไว้ ที่ฝาบ้านก็ตาม ก็ยังฟังไม่ถนัดนักว่าจำเลยรับธนบัตรมาเนื่องจาก การซื้อขายเมทแอมเฟตามีน อาจเป็นการรับจากสายลับโดยประการอื่น ก็เป็นได้ โดยเฉพาะคำบอกเล่าของสายลับต้องรับฟังด้วย ความระมัดระวัง ทั้งการที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนนั้น จำเลยก็นำสืบต่อสู้ว่า ถูกเจ้าพนักงาน ตำรวจบังคับให้รับสารภาพ และยังถูกหลอกว่ามีเพียงโทษปรับ สถานเดียว จำเลยจึงยอมรับสารภาพ เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์ พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรงมาเบิกความ มีแต่เพียงพยาน บอกเล่าเท่านั้นจึงยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงที่จะทำให้เชื่อได้ โดยสนิทใจ คดีมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำ ความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้น ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5570/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานพิรุธ ขาดน้ำหนักรับฟัง ศาลฎีกายกฟ้องคดียาเสพติดและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีข้อพิรุธและขาดเหตุผลอยู่หลายประการ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ สำหรับ ข้อหาฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้จำเลยทั้งสี่จะไม่ฎีกา และยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่คดีนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด และความผิดข้อหา ดังกล่าวเป็นความผิดที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันกับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ ในครอบครองเพื่อ จำหน่าย และจำหน่ายดังกล่าวมาแล้ว เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ เป็นชุดเดียวกันมีพิรุธเป็นที่สงสัยลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ที่จะยกฟ้องถึงข้อหาความผิดฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดย ไม่ได้รับอนุญาตได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5373/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยของกลางหลังศาลยกฟ้อง: ศาลอุทธรณ์ต้องมีคำวินิจฉัยเรื่องของกลางตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ แว่นตา กับหมวกไหมพรมเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามป.อ. และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ กับมีคำขอให้ริบของกลางดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่และพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางนั้นตามป.วิ.อ.มาตรา 186 (9) การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ให้คืนรถจักรยานยนต์ แว่นตา และหมวกไหมพรมของกลางแก่เจ้าของ