พบผลลัพธ์ทั้งหมด 202 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เตรียมการก่อนหลบหนี แม้ไม่ฉกฉวยเฉพาะหน้า ศาลลงโทษฐานลักทรัพย์ได้
การที่จำเลยขออนุญาตเอาพระพุทธรูปบูชาของผู้เสียหายลงไปดูกลางแสงแดดที่พื้นดินหน้าบ้าน แล้วอุ้มพระพุทธรูปวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์ปิกอัพซึ่งพวกของจำเลยจอดรออยู่ โดยมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนแล้วหลบหนีไปกับรถยนต์คันดังกล่าว ไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เพราะไม่ได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า คงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย จำเลยซึ่งเป็นทหารร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นศาลพลเรือนตามมาตรา 14(1) และมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อหลบหนี ศาลฎีกาชี้ขาดความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่วิ่งราวทรัพย์
การที่จำเลยขออนุญาตเอาพระพุทธรูปบูชาของผู้เสียหายลงไปดูกลางแสงแดดที่พื้นดินหน้าบ้านแล้วอุ้มพระพุทธรูปวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์ปิกอัพซึ่งพวกของจำเลยจอดรออยู่โดยมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนแล้วหลบหนีไปกับรถยนต์คันดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เพราะไม่ได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้าคงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา335(7)วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา336ทวิความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย จำเลยซึ่งเป็นทหารร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลพลเรือนตามมาตรา14(1)และมาตรา15วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติ ธรรมนูญศาลทหารพ.ศ.2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492-1494/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการลักทรัพย์: ต้องพิสูจน์การใช้ยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกโดยตรง
จำเลยกับพวกไปลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยเพียงแต่นำรถจักรยานยนต์ไปจอดห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อลักทรัพย์เสร็จได้กลับไปที่รถจักรยานยนต์แบ่งทรัพย์กันแล้วก็นั่งรถจักรยานยนต์หลบหนีไป กรณียังฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492-1494/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์: จำเลยต้องมีเจตนาใช้ยานพาหนะเพื่อเอื้อต่อการกระทำผิด
จำเลยกับพวกไปลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยเพียงแต่นำรถจักรยานยนต์ไปจอดห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อลักทรัพย์เสร็จได้กลับไปที่รถจักรยานยนต์แบ่งทรัพย์กัน แล้วก็นั่งรถจักรยานยนต์หลบหนีไป กรณียังฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492-1494/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิด - มาตรา 336 ทวิ อาญา
จำเลยกับพวกไปลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โดย เพียงแต่ นำรถจักรยานยนต์ไปจอดห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อลักทรัพย์เสร็จได้ กลับไปที่รถจักรยานยนต์แบ่งทรัพย์กันแล้วก็นั่งรถจักรยานยนต์หลบหนีไป กรณียังฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้ รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4487/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะและใช้กำลังประทุษร้าย ผู้เสียหายจำได้และมีหลักฐานสนับสนุน
จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะแล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์เข้าชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายอย่างแรงจนเสียหลักล้มลงแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้กระชากสร้อยคอทองคำที่คอผู้เสียหายไป การกระทำของจำเลยทั้งสองถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ จึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3044/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการหลบหนีหลังก่อชิงทรัพย์ ไม่ถือเป็นการใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีคนร้ายอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายไปเวียนรอบผู้เสียหาย 3-4 รอบก่อน แล้วอ้อมไปหยุดข้างหลังผู้เสียหาย ต่อจากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จึงลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้วกลับมาขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้จำเลยขับขี่หลบหนีไป เมื่อไม่ปรากฏชัดว่าที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์เวียนรอบผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกคงฟังได้เพียงว่า เป็นการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะไปและกลับจากการกระทำความผิดเท่านั้น ไม่เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์นั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3044/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการชิงทรัพย์ ไม่ถือเป็นการใช้เพื่อกระทำความผิดโดยตรง จึงไม่ริบได้
จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีคนร้ายอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายไปเวียนรอบผู้เสียหาย 3-4 รอบก่อน แล้วอ้อมไปหยุดข้างหลังผู้เสียหาย ต่อจากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จึงลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้วกลับมาขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้จำเลยขับขี่หลบหนีไป เมื่อไม่ปรากฏชัดว่าที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์เวียนรอบผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ใดพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกคงฟังได้เพียงว่า เป็นการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะไปและกลับจากการกระทำความผิดเท่านั้น ไม่เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์นั้นไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลาง: เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง & การใช้ยานพาหนะในการกระทำผิด
ในชั้นขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีเพียงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งต้องริบตาม ป.อ. มาตรา33(1) ผู้ร้องที่ 2 มิได้อุทธรณ์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องจะยกขึ้นโต้เถียงในชั้นขอคืนของกลางอีกไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดชิงทรัพย์ ต้องพิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง แม้จะอาศัยรถยนต์เพื่อการอื่นก็ไม่ถือว่าใช้เป็นยานพาหนะ
จำเลยที่ 1 อาศัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปกระทำกิจธุระอื่นโดยมิได้มีเจตนาจะกระทำผิดฐานชิงทรัพย์มาก่อน เหตุชิงทรัพย์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ 1 ลงไปกระทำการขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด การชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ