พบผลลัพธ์ทั้งหมด 150 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล และการกล่าวถึงผู้พิพากษา ไม่ถึงขั้นละเมิดอำนาจศาล
คำร้องของจำเลยร่วม ขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณา พิพากษาคดีนั้น แม้จะมีข้อความกล่าวถึงเรื่องส่วนตัว เป็นเชิงตำหนิติเตียนผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี และข้อความบางตอนอาจทำให้เข้าใจไปทางไม่ดีงาม แต่เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวไว้เพื่อให้มูลข้ออ้างเพื่อคำร้องขอจำเลยร่วมมีน้ำหนักพอรับฟังได้เช่นนั้น เมื่อยังไม่พฤติการณ์อื่นประกอบพอให้เห็นว่า จำเลยร่วมมีเจตนาก้าวร้าวเสียดสีศาลหรือผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี เพียงเท่านี้ยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การโต้เถียงและอาการกิริยาที่ไม่เหมาะสมในศาล ไม่ถึงขั้นละเมิดอำนาจศาล
คำร้องของจำเลยร่วมขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณาพิพากษา แม้จะมีข้อความกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเป็นเชิงตำหนิติเตียนผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี และข้อความบางตอนอาจทำให้เข้าใจไปในทางไม่ดีงาม แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวเพื่อให้มูลข้ออ้างมีน้ำหนักพอรับฟัง เมื่อยังไม่มีพฤติการณ์อื่นประกอบพอให้เห็นเจตนาก้าวร้าวเสียดสี เพียงเท่านี้ยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกจำเลยร่วมฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อัยการฎีกาได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกจำเลยร่วมฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อัยการฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยคำพูดเปรียบเทียบ และการไม่มีอำนาจฟ้องคดีละเมิดอำนาจศาล
การที่จำเลยพูดว่า "ตุ๊ อย่าเอาไม้ไปแหย่ขี้เลย" ในขณะที่โจทก์กำลังโต้เถียงกับนายตุ๊สามีจำเลย เมื่อคณะผู้พิพากษาพร้อมด้วยโจทก์จำเลยในคดีแพ่งไปตรวจดูสถานที่พิพาทนั้นแม้คำว่า ขี้จะหมายถึงตัวโจทก์ แต่ก็เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพเท่านั้นยังไม่พอถือได้ว่าเป็นการใส่ความตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา326 จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลนั้น เมื่อมีผู้กระทำผิดก็เป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะที่จะสั่งลงโทษผู้นั้นได้เองผู้อื่นหามีสิทธิที่จะเสนอคดีให้ศาลพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดในคดีเช่นนี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในความผิดฐานนี้
ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลนั้น เมื่อมีผู้กระทำผิดก็เป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะที่จะสั่งลงโทษผู้นั้นได้เองผู้อื่นหามีสิทธิที่จะเสนอคดีให้ศาลพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดในคดีเช่นนี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในความผิดฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042-1044/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันตัวจำเลยแล้วมีบุคคลอื่นมาแทนที่ศาลถือว่านายประกันประพฤติตนไม่เรียบร้อย ละเมิดอำนาจศาล
ในคดีอาญาที่ผู้ร้องได้เข้าประกันตัวจำเลยในระหว่างพิจารณานั้นวันนัดอ่านคำพิพากษามีผู้มาฟังคำพิพากษาในฐานะจำเลยครั้นศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วปรากฏว่าผู้มาฟังคำพิพากษานั้นเป็นบุคคลอื่นไม่ใช่ตัวจำเลยจริง การที่มีการเปลี่ยนตัวจำเลยเช่นนี้เมื่อฟังว่านายประกันผู้ร้องรู้เห็นด้วย ถือได้ว่านายประกันผู้ร้องประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ย่อมเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามมาตรา31(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042-1044/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันตัวจำเลยและเปลี่ยนตัวบุคคลมาฟังคำพิพากษาถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย ละเมิดอำนาจศาล
ในคดีอาญาที่ผู้ร้องได้เข้าประกันตัวจำเลยในระหว่างพิจารณานั้น วันนัดอ่านคำพิพากษามีผู้มาฟังคำพิพากษาในฐานะจำเลยครั้นศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วปรากฏว่าผู้มาฟังคำพิพากษานั้นเป็นบุคคลอื่นไม่ใช่ตัวจำเลยจริง การที่มีการเปลี่ยนตัวจำเลยเช่นนี้ เมื่อฟังว่านายประกันผู้ร้องรู้เห็นด้วย ถือได้ว่านายประกันผู้ร้องประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ย่อมเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตาม มาตรา31(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวเสียดสีศาลในคำฟ้องอุทธรณ์ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล แม้จะคัดมาจากเอกสารอื่น
โจทก์ยื่นคำแถลงไปยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคมีข้อความว่า ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พูดกันในขณะจดรายงาน ฯ เป็นการช่วยเหลือฝ่ายจำเลยซึ่งมีอิทธิพล ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดีและเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยคัดข้อความดังกล่าวมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยข้อความดังกล่าวนี้กล่าวหาว่าศาลไม่เป็นธรรม จึงถือได้ว่าเป็นข้อความที่มุ่งกล่าวเสียดสีศาล
แม้ข้อความที่กล่าวเสียดสีศาลจะเป็นข้อความซึ่งโจทย์คัดมาจากคำแถลงของโจทก์และหาใช่ถ้อยคำที่โจทก์ใช้ในอุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็นจึงเป็นการแสดงเจตนาว่า โจทก์มุ่งกล่าวให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วย
แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้เท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นเองด้วย ฉะนั้น ตัวโจทก์และทนายโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาล
แม้ข้อความที่กล่าวเสียดสีศาลจะเป็นข้อความซึ่งโจทย์คัดมาจากคำแถลงของโจทก์และหาใช่ถ้อยคำที่โจทก์ใช้ในอุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็นจึงเป็นการแสดงเจตนาว่า โจทก์มุ่งกล่าวให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วย
แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้เท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นเองด้วย ฉะนั้น ตัวโจทก์และทนายโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวหาศาลไม่เป็นธรรมในคำฟ้องอุทธรณ์ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล แม้จะคัดจากเอกสารอื่น
โจทก์ยื่นคำแถลงไปยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคมีข้อความว่าศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พูดกันในขณะจดรายงานฯ เป็นการช่วยเหลือฝ่ายจำเลยซึ่งมีอิทธิพล ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดีและเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยคัดข้อความดังกล่าวมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วย ข้อความดังกล่าวนี้กล่าวหาว่าศาลไม่เป็นธรรมจึงถือได้ว่าเป็นข้อความที่มุ่งกล่าวเสียดสีศาล
แม้ข้อความที่กล่าวเสียดสีศาลจะเป็นข้อความซึ่งโจทก์คัดมาจากคำแถลงของโจทก์และหาใช่ถ้อยคำที่โจทก์ใช้ในอุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็น จึงเป็นการแสดงเจตนาว่าโจทก์มุ่งกล่าวให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วย
แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้เท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นเองด้วย ฉะนั้น ตัวโจทก์และทนายโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาล
แม้ข้อความที่กล่าวเสียดสีศาลจะเป็นข้อความซึ่งโจทก์คัดมาจากคำแถลงของโจทก์และหาใช่ถ้อยคำที่โจทก์ใช้ในอุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็น จึงเป็นการแสดงเจตนาว่าโจทก์มุ่งกล่าวให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วย
แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้เท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นเองด้วย ฉะนั้น ตัวโจทก์และทนายโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความพยานในศาล ไม่ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล หากเป็นการตอบคำถามตามประเด็นคดี หรือคำถามของศาล
แม้คำเบิกความของพยานจะมีข้อความหมายให้เห็นไปในทำนองเสียดสีดูหมิ่นศาล แต่เมื่อข้อความตามคำเบิกความของพยานเกิดขึ้นจากการตอบคำถามของศาลหรือของโจทก์จำเลยอันเป็นประเด็นที่คู่ความนำสืบกันมาในคดี ดังนี้ จะถือว่าพยานถือโอกาสเบิกความก้าวร้าวเสียดสีดูหมิ่นศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลยังไม่ได้ พยานจึงยังไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการละเมิดอำนาจศาล: การเบิกความของพยานที่ตอบคำถามตามการนำสืบของคู่ความ ไม่ถือว่าก้าวร้าว เสียดสี ดูหมิ่นศาล
แม้คำเบิกความของพยานจะมีข้อความหมายให้เห็นไปในทำนองเสียดสีดูหมิ่นศาล แต่เมื่อข้อความตามคำเบิกความของพยานเกิดขึ้นจากการตอบคำถามของศาลหรือของโจทก์จำเลยอันเป็นประเด็นที่คู่ความนำสืบกันมาในคดี ดังนี้ จะถือว่าพยานถือโอกาสเบิกความก้าวร้าว เสียดสีดูหมิ่นศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลยังไม่ได้พยานจึงยังไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนพยานหลักฐานและการพิสูจน์ความจริง
ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้นเป็นความผิดต่อศาล ศาลย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนได้เองตามที่เห็นสมควร ไม่ว่าพยานหลักฐานเหล่านั้นฝ่ายใดจะได้อ้างหรือไม่ สำหรับกรณีที่การละเมิดอำนาจศาลได้กระทำต่อหน้าศาล ย่อมถือได้ว่าศาลได้ทราบข้อเท็จจริงนั้นจากพยานหลักฐานที่ปรากฏแก่ศาลเองแล้ว ศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไปได้ทีเดียว แต่ในกรณีที่การกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไม่ได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจำต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนหาข้อเท็จจริงก่อนเพียงแต่สอบถามปากคำพยานโดยไม่ปรากฏว่าพยานเหล่านั้นได้สาบานตน หรือกล่าวคำปฏิญานว่าจะให้การตามสัตย์จริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 112 ถ้อยคำพยานเหล่านั้นจึงฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 824/2492)