คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
วินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม เป็นปัญหาอำนาจฟ้อง ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
เดิมโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับโจทก์แต่ปรากฎว่าจำเลยไม่่โอนที่ดินและอาคารให้โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยผิดสัญญาส่วนจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารของจำเลยโดยไม่มีสิทธิซึ่งมูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งสืบเนื่องมาจากโจทก์กระทำละเมิดต่อทรัพย์สินของจำเลยฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมปัญหาฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีแรงงาน: ศาลแรงงานวินิจฉัยถูกต้องแล้ว
อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโจทก์ได้ถูกจำเลยเลิกจ้างแล้วเพราะเหตุละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2538 เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลแรงงานพิพากษาไม่ชอบ เนื่องจากไม่ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยมีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งในปัญหานี้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่ไปทำงานให้แก่จำเลยตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2538 เป็นต้นมาโดยโจทก์สมัครใจเลิกเป็นลูกจ้างของจำเลยเอง จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบในคดีแรงงานไม่จำต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. เนื่องจาก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะได้บัญญัติไว้แล้วในมาตรา39 วรรคหนึ่ง และการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดในคดีแรงงานนำพยานมาสืบก่อนหรือหลังนั้นเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลแรงงานโดยเฉพาะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานในคดีแรงงานเมื่อข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการวินิจฉัย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลแรงงานกลางได้ไกล่เกลี่ยและสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากโจทก์จำเลยแล้ว ทนายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริง เมื่อศาลแรงงานกลางได้พิจารณาคำฟ้อง คำให้การและคำแถลงของโจทก์จำเลยประกอบกับเอกสารแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียดังนี้เมื่อไม่มีการสืบพยานก็ย่อมไม่มีการสาบานหรือปฏิญาณตนของพยานตลอดถึงการซักถามพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 112 และมาตรา 117อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 774/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดคดีครอบครองปรปักษ์: ศาลชอบที่จะรับคำร้องสอดเพื่อวินิจฉัยสิทธิของผู้ร้องสอด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดที่ดินบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่โฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อผู้ร้องสอดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้งแปลง ผู้ร้องสอดจึงมีส่วนได้เสียในคดีนี้ ดังนั้น การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ซึ่งยังอยู่ในระหว่างพิจารณาโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการร้องสอดด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้เพื่อวินิจฉัยถึงข้อโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดให้ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเอกสารหลักฐานของจำเลยเข้าสืบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยศาลอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร การที่ทนายจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ดูประกอบการถามค้าน โจทก์ไม่ตอบคำถามแล้วทนายจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาล แสดงว่าโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารนั้นเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังการที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมจึงไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม: การที่ฟ้องแย้งไม่มีข้ออ้างหลักแห่งข้อหาทำให้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์ โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2529 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่า แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่า สิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้อง จำเลยไม่อาจทราบได้ จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกัน จำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้ง ดังนั้น เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไร เช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ หาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า บิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เมื่อบิดาจำเลยตายสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย จำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้น เป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลอุทธรณ์ และการตัดสินนอกฟ้อง: การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นเกินขอบเขตคำฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532กำหนดไว้มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค2จึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่างๆไปจากโจทก์หลายครั้งโดยจำเลยที่1มอบหมายให้จำเลยที่2เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์โจทก์ส่งมอบข้าวสารให้ตามที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อหลายครั้งจำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าและชำระราคาให้โจทก์แล้วบางส่วนคงค้างชำระอยู่เป็นเงิน1ล้านบาทเศษขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่2กระทำการแทนจำเลยที่1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่1ได้เชิดจำเลยที่2หรือยอมให้จำเลยที่2เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไปแต่อย่างใดดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่1ในการซื้อข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่2ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้นจึงเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142อันเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247มีเหตุอันสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5353/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการวินิจฉัยอายุความของจำเลยร่วม และการใช้ข้อกฎหมายแทนกันในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันละเมิดต่อโจทก์ขอให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่4ที่8และที่9จะไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้และจำเลยอื่นมิได้ยื่นคำร้องให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวก็ได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้และคำร้องขอชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่3และที่7ด้วยโดยถือการดำเนินกระบวนพิจารณาของคู่ความร่วมคนหนึ่งเมื่อกระทำไปแล้วย่อมถือว่าได้กระทำแทนคู่ความอื่นร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา59(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเพื่อวินิจฉัยสิทธิครอบครองก่อนพิจารณาสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญามัดจำซื้อที่ดินพิพาท โดยจำเลยที่ 1 และป.ผู้จะขายให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินไว้ก่อน และกำหนดนัดโอนเมื่อจำเลยที่ 1 และ ป. ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากเจ้าพนักงานแล้ว ต่อมา ป. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 และ น.ซึ่งเป็นบุตรของ ป. มาแจ้งว่าไม่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากเจ้าพนักงานและตกลงให้ที่ดินเป็นของโจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องอีกต่อไปต่อมาจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตมาขอจัดการมรดกของ ป. แล้วขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ไป จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ เป็นการฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งได้สิทธิโดยการครอบครองหาใช่โดยอาศัยสิทธิเรียกร้องตามสัญญามัดจำไม่เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็ชอบที่ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ การที่ศาลล่างสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโดยยกสัญญามัดจำขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาใหม่แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีมีทุนทรัพย์ต้องห้าม และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีผิดประเภท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิด ทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน50,000 บาท ท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่การพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่ ก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่า จำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้นดังนี้ โจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทไม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง อันเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ แล้วพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยไปเป็นการไม่ชอบและเมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 56