พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เดิมและการปรับตามมาตรา 1005 กรณีจำเลยรับเงินแล้วตั๋วแลกเงินไม่สามารถเรียกเก็บได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ แล้วออกตั๋วแลกเงินให้ โจทก์ไปเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ และทำคำคัดค้านไว้ จึงมาฟ้องเรียกเงินคืนดังนี้ เป็นการฟ้องเรียกเงินคืนตามมูลหนี้เดิมคดีเข้าอยู่ในมาตรา 1005 ต้องบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เดิมและการฟ้องเรียกเงินคืนจากตั๋วแลกเงินที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ แล้วออกตั๋วแลกเงินให้ โจทก์ไปเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ และทำคำคัดค้านไว้ จึงมาฟ้องเรียกเงินคืน ดังนี้ เป็นการฟ้องเรียกเงินคืนตามมูลหนี้เดิม คดีเข้าอยู่ในมาตรา 1005 ต้องบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2484
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้และการนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนี้เดิม ศาลรับฟังได้หากมีเหตุสุจริต
การนำสืบถึงการกู้ ย่อมนำสืบถึงหนี้เดิมที่แปลงหนี้มาได้ ดดยไม่ต้องกล่าวไว้ในฟ้องหรือคำให้การการที่ศาลล่างพังงาสัญญากู้สมบูรณ์ก็เท่ากับฟังว่าหนี้ที่แปลงมาสมบูรณ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องหนี้เดิมโดยอ้างเอกสารใหม่ ไม่ถือเป็นการต่างกับฟ้อง หากมูลหนี้ยังคงเป็นรายเดียวกัน
การนำสืบถึงมูลกรณีเดิมที่เป็นหนี้กัน ไม่ถือว่าเป็นการสืบต่างกับฟ้อง
จำเลยกู้เงินบิดาโจทก์ไปบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้รับมฤดก โจทก์จำเลยทำสัญญากันอีกฉะบับ 1 เป็นว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์โดยสัญญานี้มีพะยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยถูกต้องตามกฎหมาย โจทกืฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญา-ฉะบับที่ทำกู้จากบิดา ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว โจทก์ฟ้องใหม่โดยอาศัยสัญญาที่ทำกับตนเองนั้นได้ เพราะไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน
เมื่อคำพิพากษาก่อนกล่าวว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องใหม่โดยอาศัยเอกสารฉะบับใดโจทก์ฟ้องโดยอาศัยเอกสารฉะบับนั้นอีกได้ ด้วยไม่ใช่คดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยกู้เงินบิดาโจทก์ไปบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้รับมฤดก โจทก์จำเลยทำสัญญากันอีกฉะบับ 1 เป็นว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์โดยสัญญานี้มีพะยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยถูกต้องตามกฎหมาย โจทกืฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญา-ฉะบับที่ทำกู้จากบิดา ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว โจทก์ฟ้องใหม่โดยอาศัยสัญญาที่ทำกับตนเองนั้นได้ เพราะไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน
เมื่อคำพิพากษาก่อนกล่าวว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องใหม่โดยอาศัยเอกสารฉะบับใดโจทก์ฟ้องโดยอาศัยเอกสารฉะบับนั้นอีกได้ ด้วยไม่ใช่คดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2481
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินต่างชนิด ไม่เป็นการแปลงหนี้เดิม
จำเลยรับฝากเงินทองของโจทก์ไว้ ครั้นโจทก์จะเอาคืนจำเลยไม่มีให้ จึงตกลงกันว่าจำเลยจะโอนที่ดินให้แทนดังนี้เป็นลักษณการชำระหนี้ หาใช่สัญญาแปลงหนี้ไม่ เมื่อจำเลยไม่โอนที่ดินให้ต้องถือว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้ทรัพย์ที่รับฝากโจทก์อยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ต้องทำเป็นหนังสือ หากไม่สมบูรณ์เฉพาะส่วน หนี้เดิมยังใช้บังคับได้
การโอนหนี้ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือย่อมไม่สมบูรณ์ การแปลงหนี้ซึ่งไม่สมบูรณ์ในบางส่วนนั้น ถ้าหากว่าส่วนอื่นแยกออกต่างหากจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ได้ ส่วนอื่นก็เป็นการแปลงหนี้ที่สมบูรณ์ เมื่อแปลงหนี้ใหม่แล้วถึงแม้ลูกหนี้ผิดสัญญา เจ้าหนี้จะขอเลิกสัญญา และขอให้บังคับตามหนี้เดิมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2475
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เดิมไม่ระงับจากการทำสัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกหนี้เดิมได้
ซื้อของเชื่อเขาไปแต่ชำระราคายังไม่หมดจึงทำสัญญากู้ให้ไว้ แต่สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายดังนี้หนี้เดิมยังไม่ระงับ เจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินที่ค้างชำระได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมกองหมายหลังปลดหนี้: คิดจากหนี้เดิม ไม่ใช่ราคาทรัพย์
ค่าธรรมเนียมกองหมายเมื่อประกาศขายแล้ว คิดจากเงินจำนวนไหน ประมวลแพ่งบรรพ 1,2,ปลดหนี้และชำระหนี้หมายความเพียงไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617-618/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละหนี้เดิมด้วยสัญญาใหม่ และผลของการผ่อนชำระหนี้
ภรรยาเป็นผู้ช่วยสามีในการจัดการวงแชร์ขอเลิกสัญญาแทนผัว ๆ รู้เห็นด้วยสัญญาใหม่ล้างสัญญาเก่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6271/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ระงับหนี้เดิม, อายุความ, และการแก้ไขดอกเบี้ยผิดนัด
หนังสือรับสภาพความผิดจำเลยทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าได้นำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวในระหว่างดำรงตำแหน่งเหรัญญิกของโจทก์ และจำเลยยินยอมชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยให้ครบถ้วนภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2554 หนังสือรับสภาพความผิดดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียวตกลงยอมรับผิดชำระหนี้ที่จำเลยนำเงินของโจทก์ไปใช้โดยไม่ชอบ มิใช่คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ทำให้มูลหนี้เดิมที่จำเลยนำเงินของโจทก์ไปใช้ระงับไปแล้วเกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งไม่มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะทำให้หนี้ระงับไป
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ไป มูลหนี้จึงเกิดจากการกระทำละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ว่าเงินหายไปและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ แต่ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 26 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2553 จำเลยซึ่งเป็นเหรัญญิกของโจทก์ได้ยักยอกเงินของโจทก์ไปโดยทุจริต ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ในฐานะเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์ของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 หาใช่ฟ้องจำเลยในมูลละเมิดไม่ และจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ในเรื่องละเมิด คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังที่อุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น และถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ดังที่วินิจฉัยแล้ว ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือรับสภาพความผิด ฉะนั้น จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเอาเงินจำนวนตามฟ้องโจทก์ไป จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินคืนแก่โจทก์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยคัดลอกข้อความทั้งหมดมาจากอุทธรณ์ของจำเลยโดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีข้อแตกต่างกัน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินคืนภายใน 15 วัน จำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ครบกำหนดชำระเงินวันที่ 24 พฤษภาคม 2556 จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2556 มิใช่วันที่ 24 พฤษภาคม 2556 ตามที่โจทก์มีคำขอ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2556 จึงไม่ถูกต้องและเกินคำขอซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ไป มูลหนี้จึงเกิดจากการกระทำละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ว่าเงินหายไปและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ แต่ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 26 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2553 จำเลยซึ่งเป็นเหรัญญิกของโจทก์ได้ยักยอกเงินของโจทก์ไปโดยทุจริต ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ในฐานะเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์ของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 หาใช่ฟ้องจำเลยในมูลละเมิดไม่ และจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ในเรื่องละเมิด คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังที่อุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น และถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ดังที่วินิจฉัยแล้ว ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือรับสภาพความผิด ฉะนั้น จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเอาเงินจำนวนตามฟ้องโจทก์ไป จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินคืนแก่โจทก์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยคัดลอกข้อความทั้งหมดมาจากอุทธรณ์ของจำเลยโดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีข้อแตกต่างกัน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินคืนภายใน 15 วัน จำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ครบกำหนดชำระเงินวันที่ 24 พฤษภาคม 2556 จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2556 มิใช่วันที่ 24 พฤษภาคม 2556 ตามที่โจทก์มีคำขอ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2556 จึงไม่ถูกต้องและเกินคำขอซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247