คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เลือกตั้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง: การเตรียมเงินและบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจในการลงคะแนน
การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยก่อนวันเลือกตั้งเพียง 1 วัน พร้อมยึดธนบัตรฉบับละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 933,000 บาท และบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับรายชื่อหัวคะแนนบรรจุในห่อใหญ่ 9 ห่อ ซึ่งมีบัญชีรายชื่อภายในแต่ละห่อมีห่อย่อย 37 ห่อ แต่ละห่อย่อยมีซองจดหมายบรรจุธนบัตร 2 ซอง แต่ละซองระบุเลขรหัสและชื่อบุคคลกำกับไว้อยู่ภายในกระเป๋าผ้าร่ม แม้ไม่ปรากฏว่าผู้ที่ไปพบบรรดาหัวคะแนนและแกนนำชาวบ้านเพื่อให้สนับสนุนโดยหาคนมาช่วยลงคะแนนให้ อ. ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหมายเลข 9 มีการให้สิ่งตอบแทนแก่คนเหล่านั้นแล้ว แต่ขณะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้ มีการจัดทำธนบัตรของกลางไว้พร้อมโดยแยกเป็นห่อและเป็นซองย่อยพร้อมที่จะนำไปแจกจ่ายให้แก่หัวคะแนนหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อในตำบลขุนยวมและตำบลเมืองปอน โดยลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือว่าจำเลยจัดเตรียมเพื่อจะให้ธนบัตรของกลาง ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้บรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้น หรือผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองใดหรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด แม้จำเลยจะยังไม่ได้แจกจ่ายหรือให้ธนบัตรนั้นแก่บรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหลาย จำเลยก็กระทำความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 44 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานซื้อเสียง: การให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยให้เงิน ค. ท. ส. และ ล. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 2 เพื่อจูงใจให้บุคคลทั้งสี่ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ ธ. ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก และ ว. ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก การกระทำของจำเลยเป็นการจูงใจโดยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนย่อมเป็นความผิดสำเร็จในตัวและอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5787/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายเลือกตั้งต้องมีหลักฐานประกอบ การไม่ปฏิบัติตามถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 บัญญัติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งไว้ในส่วนที่ 6 ตั้งแต่มาตรา 40 ถึงมาตรา 43 โดยมาตรา 40 บัญญัติว่า การใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้เป็นไปตามบทบัญญัติในส่วนนี้ มาตรา 41 บัญญัติห้ามมิให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด มาตรา 42 บัญญัติให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่งตั้งสมุห์บัญชีเลือกตั้งเพื่อจัดทำและรับรองความถูกต้องของบัญชีรายรับและรายจ่าย ส่วนมาตรา 43 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ภายในกำหนดเก้าสิบวันหลังจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง ผู้สมัครแต่ละคนหรือพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อต้องยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำขึ้น และผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองแล้วแต่กรณีได้รับรองความถูกต้อง บัญชีรายรับและรายจ่ายอย่างน้อยต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปแล้วและที่ยังค้างชำระ รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวประสงค์ที่จะควบคุมไม่ให้ผู้สมัครใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งเกินไปกว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และเมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของผู้สมัครแต่ละคนตามรายงานการรับจ่ายเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ผู้สมัครยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง การควบคุมและตรวจสอบการใช้เงินของผู้สมัครดังกล่าว ก็เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพราะกฎหมายไม่ประสงค์ให้ผู้สมัครที่มีเงินมากได้เปรียบผู้สมัครที่มีเงินน้อยในการหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น ในการยื่นรายงานการรับจ่ายเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้ง กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้สมัครต้องยื่นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบด้วย ทั้งนี้เพราะหากยอมให้ผู้สมัครระบุแต่จำนวนรายรับและรายจ่ายในบัญชีได้โดยไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องประกอบ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้สมัครที่ไม่สุจริตระบุจำนวนรายรับและรายจ่ายไม่ตรงตามความเป็นจริงโดยไม่อาจตรวจสอบได้ อันจะส่งผลให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามรายงานการรับจ่ายเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้งเอกสารหมาย จ.12 (หรือ จ.14) ของจำเลยที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2544 (หรือวันที่ 4 พฤษภาคม 2544) คงระบุแต่เพียงว่ามีค่าใช้จ่าย 9 รายการ โดยจำเลยไม่มีหลักฐานประกอบรายการการจ่ายเงินตามรายการต่าง ๆ ดังกล่าว การยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายของจำเลยจึงไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้ จึงเป็นการเจตนาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สิ้นสุดลง แม้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 จะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีฐานะเป็นพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งที่มีประกาศแยกมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 การที่มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับดังกล่าว กำหนดให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สิ้นสุดลง จึงหามีผลทำให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 สิ้นสุดลงตามไปด้วยไม่ อีกทั้งประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ข้อ 4 ยังได้บัญญัติด้วยว่า "ศาลทั้งหลาย นอกจากศาลรัฐธรรมนูญ คงมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย" อันเป็นการรับรองให้กฎหมายทั้งปวงที่มีผลใช้บังคับอยู่ก่อนการปฏิรูปการปกครองยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปอีกด้วย ดังนั้น เมื่อไม่มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับใดออกมาบัญญัติให้ยกเลิก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 พระราชบัญญัติดังกล่าวนี้จึงยังมีผลใช้บังคับต่อไป สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายเลือกตั้ง: การมอบหมายอำนาจ กกต.จังหวัด และการตีความประกาศ กกต.
จำเลยยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 24 กรุงเทพมหานคร เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้ง จำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครแต่ไม่ได้รับเลือกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายของผู้สมัคร โดยต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ และตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด โดยยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานครภายในกำหนด 90 วัน หลังจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง คือวันที่ 23 เมษายน 2544 จำเลยอ้างว่า ไปยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2544 แต่เจ้าหนี้ที่ไม่รับเอกสารอ้างว่าจำเลยไม่ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร จำเลยก็มิได้ดำเนินการแก้ไขหรือขอให้เจ้าหน้าที่รับเอกสารไว้ก่อนแล้วจะดำเนินการแก้ไขในภายหลัง แต่จำเลยกลับไปยื่นใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 เจ้าหน้าที่ก็ไม่รับเช่นเดิมซึ่งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งหรือให้เจ้าหน้าที่บันทึกเหตุผลที่ไม่รับเอกสารของจำเลยดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ไปดำเนินการยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งแล้ว การที่จำเลยไปยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2544 นั้น เมื่อนับจากวันที่ 23 เมษายน 2544 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผู้สมัครต้องยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ก็เป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายไป 3 วัน แม้เจ้าหน้าที่ลงวันรับหนังสือไว้เก็เป็นการปฏิบัติตามระเบียบงานสารบรรณเท่านั้น หาใช่เป็นการผ่อนผันให้แก่จำเลยแต่อย่างใดไม่ และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานครปฏิเสธไม่รับเอกสารของจำเลย เพราะไม่เป็นไปตามกฎหมายและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำขึ้นและจำเลยได้รับรองความถูกต้องภายในกำหนด 90 วัน หลังจากประกาศผลการเลือกตั้งอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 43 วรรคหนึ่ง และมาตรา 104 วรรคหนึ่ง
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้ง ข้อ 20 กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตแต่ละคนยื่นรายงานการรับจ่ายเงินและบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำตามข้อ 19 รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภายใน 90 วันนับจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง และลงนามโดยประธานกรรมการการเลือกตั้ง แม้ตามมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ จะบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำขึ้นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ตาม แต่ข้อความตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อ 20 ดังกล่าวพอแปลได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายให้คณะกรรมการการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทำการแทน จึงกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งยื่นต่อคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดได้ ดังนี้ ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อ 20 จึงหาได้ขัดต่อบทบัญญัติตามมาตรา 43 แต่อย่างใดไม่
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งฯ มาตรา 10 (2) ได้บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ออกประกาศกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ ส่วน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 42 ได้บัญญัติให้ผู้สมัครแต่งตั้งบุคคลเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของผู้สมัคร โดยการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อพิจารณาประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 10 (2) และ 42 แล้ว ข้อความในประกาศดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งอ้างมา ทั้งยังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเช่นนี้ ประกาศดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่นได้ แม้ประกาศดังกล่าวไม่ได้อ้างมาตรา 43 ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามข้อ 20 ของประกาศฉบับนี้ได้ระบุให้ผู้สมัครต้องยื่นรายงานการรับจ่ายเงินและบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีจัดทำรวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภายใน 90 วัน นับจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาสาระทำนองเดียวกับมาตรา 43 ดังนี้ แม้ประกาศดังกล่าวจะไม่ได้อ้างมาตรา 43 ไว้ก็ตาม ก็หาได้ทำให้ประกาศดังกล่าวไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้เงินเพื่อจูงใจลงคะแนนเป็นภัยต่อประชาธิปไตย ศาลยืนโทษจำคุก
การที่จำเลยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งคนใดนั้น เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เป็นการแทรกแซงมติประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายแก่ชุมชนของจำเลย แต่ยังเป็นการทำลายรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2566

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลือกตั้งกรรมการบริษัทที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ และความรับผิดชอบของผู้บริหาร
ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่ ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง
of 11