พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10154/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายเอกสาร และสิทธิในการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเอกสาร
การที่โจทก์สืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายข้อความซึ่งยังไม่ชัดแจ้งในเอกสารหมาย จ.๑ และที่จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธไว้ย่อมกระทำได้ เพราะมิใช่เป็นการเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๙๔ หากแต่เป็นการนำสืบว่าเอกสารระบุข้อความค้างชำระหนี้อันเกิดจากนิติสัมพันธ์อย่างใด
ส่วนการที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเอกสารที่ถูกคัดค้านนั้นเป็นสิทธิของคู่ความไม่ใช่หน้าที่ของศาล อีกทั้งศาลชี้ขาดข้อโต้เถียงนั้นได้ทันทีเมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๒๖
ส่วนการที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเอกสารที่ถูกคัดค้านนั้นเป็นสิทธิของคู่ความไม่ใช่หน้าที่ของศาล อีกทั้งศาลชี้ขาดข้อโต้เถียงนั้นได้ทันทีเมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๒๖
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10133/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญญาจ้างและข้อตกลงการจ่ายโบนัส จำเป็นต้องมีพยานบุคคลยืนยันความแท้จริงของเอกสาร
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษตามสัญญาว่าจ้างที่จำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงาน โครงการก่อสร้างวางท่อก๊าซธรรมชาติที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับงานก่อสร้างมาจาก ก.จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์เป็นเพียงถูกยืมชื่อให้มาเป็นคู่สัญญากับจำเลย คู่สัญญากับจำเลยที่แท้จริงและผู้ที่ทำงานให้แก่จำเลยคือ ซ. ไม่ใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนี้โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานและจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้โจทก์ตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าว การที่คู่ความฝ่ายใดจะอ้างอิงเอกสารใดเป็นพยานหลักฐานในคดี คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำพยานบุคคลมาสืบประกอบถึงความแท้จริงและความมีอยู่ซึ่งเอกสารนั้น ๆ เว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมรับแล้ว ดังนั้น การที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสารที่อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารโต้ตอบทางโทรสารทางไกลจากต่างประเทศซึ่งทั่วโลกยอมรับฟังให้เป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลมานำสืบนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8731/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นเอกสารประกอบการพิจารณาคดี: ศาลรับฟังได้แม้ไม่ส่งสำเนาให้คู่ความ หากคู่ความได้รับสำเนาคำฟ้องพร้อมเอกสารแนบแล้ว
การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและคู่ความฝ่ายอื่นล่วงหน้าก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานนั้น นอกจากเพื่อประโยชน์ในการที่ศาลจะได้สอบถามคู่ความเกี่ยวกับเอกสารนั้นในวันชี้สองสถานแล้วยังมีความประสงค์จะให้ศาลและคู่ความได้ทราบล่วงหน้าก่อนสืบพยานว่า พยานเอกสารที่คู่ความแต่ละฝ่ายอ้างเกี่ยวกับคดีอย่างไร เอกสารมีความน่าเชื่อถือในเบื้องต้นอย่างไรหรือไม่ และให้คู่ความฝ่ายที่ถูกยันด้วยเอกสารนั้นได้มีโอกาสตรวจสอบในเบื้องต้นว่าเอกสารที่อ้างอิงมีความถูกต้องแท้จริงเพียงใด หรือสำเนาที่ยื่นไว้ตรงกับต้นฉบับเอกสารหรือไม่ สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีสำเนาหนังสือมอบอำนาจให้ทำนิติกรรม หนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งโจทก์ส่งศาลในวันพิจารณามีข้อความอย่างเดียวกันกับสำเนาเอกสารที่แนบมาท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องพร้อมกับสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแล้วก็เป็นการถูกต้องตามความประสงค์ของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามอีก ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้ในเมื่อเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8103/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คนต่างด้าวอยู่ในไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต: อำนาจอนุญาต, ช่องทางเข้าประเทศ, เอกสารประจำตัว
จำเลยเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ต่อมาได้รับบัตรประจำตัวนักศึกษาพม่า (ชั่วคราว) ซึ่งออกโดยปลัดกระทรวงมหาดไทยแต่จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจอนุญาตให้จำเลยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 35 อำนาจที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 34 เป็นของอธิบดีกรมตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอธิบดีกรมตำรวจมอบหมาย ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าวมิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้องและยังสมบูรณ์อยู่ หรือมีแต่ไม่ได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเช่นว่านั้นจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศหรือจากกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กับไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง
จำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าวมิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้องและยังสมบูรณ์อยู่ หรือมีแต่ไม่ได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเช่นว่านั้นจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศหรือจากกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กับไม่มีใบสำคัญประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7684/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจ: ความสมบูรณ์ของใบมอบอำนาจ แม้มีการแก้ไขและการส่งมอบเอกสาร
ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อุทธรณ์โต้แย้งจึงยุติจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อาจฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 1อีกได้
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้เอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลยมีหน้าที่ชำระเงินเมื่อติดตั้งเครื่องปรับสภาพน้ำแล้ว
คำฟ้องของโจทก์บรรยายมาเป็นภาษาไทยชัดแจ้งแล้วเกี่ยวกับการซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำการติดตั้งและการชำระราคาจำเลยย่อมเข้าใจได้ดีกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องส่งเอกสารมาท้ายคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18โจทก์อาจอ้างเอกสารเป็นพยานเมื่อจำเลยปฏิเสธและมีการสืบพยานแม้โจทก์จะไม่ได้ทำคำแปลเอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาไทยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา46วรรคสามบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้ศาลสั่งให้คู่ความที่ส่งทำคำแปลแนบไว้กับต้นฉบับเท่านั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำจากโจทก์และชำระราคาบางส่วนเมื่อโจทก์ติดตั้งให้จำเลยเรียบร้อยแล้วโดยไม่ได้ผิดสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ส่วนเครื่องปรับสภาพน้ำที่โจทก์ติดตั้งให้นั้นมีความชำรุดบกพร่องซึ่งโจทก์ต้องแก้ไขให้ตามสัญญานั้นเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการตามข้อสัญญาที่มีอยู่อีกส่วนหนึ่งจะอ้างมาเป็นเหตุไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7137/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการชำระหนี้บางส่วน แม้โจทก์อ้างวันที่ชำระไม่ตรงกับเอกสาร
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526ถือว่าจำเลยที่1รับสภาพหนี้ต่อโจทก์เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ววินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ทั้งยังแก้อุทธรณ์ว่าเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยที่1ชำระเงินบางส่วนให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่14กรกฎาคม2526หาได้ไม่เพราะเป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่าในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยที่1ชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์เมื่อวันที่11กรกฎาคม2526ถือว่าจำเลยรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยชำระหนี้ให้บางส่วนอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา181การนับระยะเวลาจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่12กรกฎาคม2526และครบ2ปีในวันที่11กรกฎาคม2528โจทก์ฟ้องคดีวันที่12กรกฎาคม2528จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7017/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังเอกสารประกอบคำเบิกความ แม้จำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์
ป.วิ.พ. มาตรา 89 วรรคสอง
แม้จำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบภายหลังมิได้ถามค้านตัวโจทก์ที่นำสืบก่อนเกี่ยวกับบันทึกถ้อยคำ (ท.ด.16) ไว้ขณะที่โจทก์เบิกความเป็นพยานก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้คัดค้านเสียในขณะที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวประกอบคำเบิกความจำเลย จึงไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารนั้น
แม้จำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบภายหลังมิได้ถามค้านตัวโจทก์ที่นำสืบก่อนเกี่ยวกับบันทึกถ้อยคำ (ท.ด.16) ไว้ขณะที่โจทก์เบิกความเป็นพยานก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้คัดค้านเสียในขณะที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวประกอบคำเบิกความจำเลย จึงไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิขอคืนอากรและการฟ้องละเมิดจากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีตรวจสินค้าไม่ตรงกับเอกสาร
โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าภายใน 1 ปี นับแต่วันนำเข้า แต่ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้เปิดตรวจสินค้าแล้วมีความเห็นว่าของที่โจทก์นำเข้าและขอส่งออกไม่ใช่ของรายเดียวกันจึงแจ้งข้อหาโจทก์ว่าสำแดงเท็จเพื่อขอคืนอากรและยึดผ้าไว้ ดังนั้น การที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปยังเมืองต่างประเทศภายใน 1 ปี ได้นั้น จึงมิใช่ความผิดของโจทก์ แต่เป็นเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กักยึดผ้าของโจทก์ไว้เท่ากับเป็นการไม่อนุญาตให้โจทก์ส่งออก โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนเงินอากรขาเข้าเป็นจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
การฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้ผู้ขอคืนเงินภาษีอากรได้รับการคืนเงินภาษีโดยชอบ ย่อมเป็นคดีเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในมูลละเมิดตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ได้ปฏิบัติงานไปตามขั้นตอน มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ การที่มีความเห็นในตอนแรกว่า ผ้าที่โจทก์ขอส่งออกมิใช่ของรายเดียวกับที่นำเข้าก็เพราะตรวจพบว่ามีตราคาเนโบติดอยู่ที่เนื้อผ้า แต่ใบขนสินค้าขาเข้าระบุว่าไม่มีตราจึงมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจกักยึดผ้าของโจทก์ไว้และสั่งดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
การฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้ผู้ขอคืนเงินภาษีอากรได้รับการคืนเงินภาษีโดยชอบ ย่อมเป็นคดีเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากรตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในมูลละเมิดตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ได้ปฏิบัติงานไปตามขั้นตอน มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ การที่มีความเห็นในตอนแรกว่า ผ้าที่โจทก์ขอส่งออกมิใช่ของรายเดียวกับที่นำเข้าก็เพราะตรวจพบว่ามีตราคาเนโบติดอยู่ที่เนื้อผ้า แต่ใบขนสินค้าขาเข้าระบุว่าไม่มีตราจึงมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจกักยึดผ้าของโจทก์ไว้และสั่งดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารชำระหนี้ที่ไม่ตรงกับฟ้อง ย่อมใช้เป็นหลักฐานการชำระหนี้ไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารเป็นสิ่งต้องห้าม
เอกสารการชำระหนี้ของจำเลย แม้จะมีโจทก์ในฐานะ ผู้ให้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วกลับได้ความว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยเนื่องในกรณีที่จำเลยค้ำประกันหนี้รายที่ ฉ. เป็นผู้กู้เงินไปจากโจทก์ เท่ากับว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับอื่นไม่ใช่ชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ดังนั้นเอกสารดังกล่าวจะรับฟังเป็นหลักฐานการใช้เงินรายนี้ไม่ได้ และจำเลยจะนำสืบว่าเงินที่ชำระแทนฉ. กับเงินที่กู้โจทก์ตามฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกันก็เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94