พบผลลัพธ์ทั้งหมด 251 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นความผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนตาม ป.อ. มาตรา 339,340 ตรี ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์มีเหตุอันสงสัยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนในการกระทำผิดหรือไม่จึงลงโทษตามมาตรา 339 วรรคสอง มาตราเดียว จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ข้อเท็จจริงจึงยุติว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิดศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เช่นนี้โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยหรือพรรคพวกของจำเลยเป็นผู้ยิง ต้องลงโทษตามฟ้องหาได้ไม่ เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิดถึงที่สุดไปแล้ว และถือไม่ได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาในฎีกาว่าจำเลยได้กระทำการอย่างไรที่ถือว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์คงกล่าวเพียงว่าจำเลยหรือพรรคพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงอันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องเท่านั้น ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193 ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากโจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงฐานชิงทรัพย์ และข้อเท็จจริงยุติว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนในการกระทำผิดหรือไม่ จึงลงโทษเฉพาะตามมาตรา 339 วรรคสอง จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวข้อเท็จจริงจึงยุติว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิดศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เช่นนี้โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยหรือพรรคพวกของจำเลยเป็นผู้ยิงปืน ต้องลงโทษตามฟ้องหาได้ไม่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิดถึงที่สุดไปแล้ว และถือไม่ได้ว่า โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาในฎีกาว่าจำเลยได้กระทำการอย่างไรที่ถือว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ คงกล่าวเพียงว่าจำเลยหรือพรรคพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงอันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องเท่านั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งภาษีโรงเรือน: ต้องยื่นคัดค้านหรือฟ้องภายในกำหนด และชำระภาษีไว้ก่อน จึงจะมีสิทธิโต้แย้งได้
จำเลยไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้เสียภาษี ก็ชอบที่จะยื่นคำโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามมาตรา 25 แห่ง พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และหากจำเลยยังไม่พอใจการชี้ขาดการประเมิน ก็อาจนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งต่อศาลได้ว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นการไม่ชอบ ในการโต้แย้งนั้นไม่ว่าผู้รับประเมินจะอยู่ในฐานะโจทก์หรือจำเลยผู้รับประเมินก็หมดสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5039-5041/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิในที่ดินและการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของโดยพยานหลักฐาน
การที่จำเลยนำชี้ให้เจ้าพนักงานศาลทำแผนที่พิพาทในคดีอื่น ว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นของจำเลยและมรดกของสามีจำเลยคนละครึ่งนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งเจตนาในการกระทำผิด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลล่าง
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำอย่างไร มีเจตนาอย่างไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์จะได้ทรัพย์ จึงได้ทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยโต้เถียงว่า ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอย่างเดียวก่อน เมื่อผู้เสียหายสลบไปแล้วจำเลยจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปภายหลัง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องนั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – จำเลยต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อนในการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองประกอบมาตรา 225 คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ไม่ชัดแจ้ง การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย โดยวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไขและยังไม่มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งเหตุผลโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ชอบที่ไม่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย โดยวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไขและยังไม่มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ไม่ชัดแจ้ง: ฟ้องแย้งต้องโต้แย้งคำสั่งเดิม
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย โดย วินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไขและยังไม่มีข้อโต้แย้งตาม กฎหมาย จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลใช้ดุลพินิจงดสืบพยานได้ หากไม่โต้แย้งทันเวลา อุทธรณ์ไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า สมควรจะสืบพยานหรือไม่มิใช่เป็นเรื่งอการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎมหายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึง 6 วัน แต่มิได้โต้แย้งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)