คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ของผู้พักอาศัย และขอบเขตความรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมโดยแนบสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาท้ายฟ้อง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาพร้อมกับฟ้อง อีกทั้งการจะพิจารณาว่าสัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมโดยมีจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มาพักอาศัยที่โรงแรมโดยนำรถยนต์มาจอดไว้ที่ลาน จอดรถในบริเวณโรงแรมแล้วหายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ จะอ้างไม่รับผิดเป็นส่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ได้ ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายก็คือราคารถยนต์ ซึ่งต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่สูญหาย คดีนี้โจทก์ได้รถยนต์คันพิพาทมาด้วยการเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วย ทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยนั้นถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2506/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมความเสียหายจากการละเมิด และค่าแรงพนักงานที่ถูกใช้ในการซ่อมแซม ถือเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิด
แม้ค่าใช้จ่ายและค่าควบคุมการซ่อมจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่โจทก์จะต้องใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งที่โจทก์ต้องเสียไปในการซ่อมความเสียหายที่ได้รับ ซึ่งสามารถคิดคำนวณเฉลี่ยออกมาได้ จึงถือได้ว่าเป็นต้นทุนในการซ่อมที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์
เงินค่าแรงที่โจทก์ต้องจ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์ในการซ่อมแซมความเสียหายเกี่ยวกับรถไฟ เสาโทรเลข สายควบคุมพร้อมอุปกรณ์และอื่น ๆ อันเกิดจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แม้พนักงานของโจทก์จะได้รับเงินเดือนจากโจทก์เป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมื่อโจทก์ต้องใช้พนักงานของโจทก์ไปซ่อมแซม เพราะถ้าไม่มีการละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ก็ย่อมไม่ต้องใช้พนักงานของโจทก์ไปทำงานนั้น หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องจ้างเหมาให้บุคคลอื่นทำการซ่อมแซมแทน จำเลยทั้งห้าจึงต้องรับผิดชดใช้เงินค่าแรงดังกล่าวให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2506/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการละเมิด: การคำนวณต้นทุนการซ่อมและค่าแรงพนักงานที่เกี่ยวข้อง
จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ค่าใช้จ่ายและค่าควบคุมการซ่อมจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่โจทก์จะต้องใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งที่โจทก์ต้องเสียไปในการซ่อมความเสียหายที่ได้รับ ซึ่งสามารถคิดคำนวณเฉลี่ยออกมาได้ จึงถือได้ว่าเป็นต้นทุนในการซ่อมที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนเงินค่าแรงที่โจทก์ต้องจ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์ในการซ่อมแซมความเสียหายเกี่ยวกับรถไฟ เสาโทรเลข สายควบคุมพร้อมอุปกรณ์ และอื่น ๆ อันเกิดจากการทำละเมิดนั้น แม้พนักงานของโจทก์จะได้รับเงินเดือนจากโจทก์เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีการละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ก็ย่อมไม่ต้องใช้พนักงานของโจทก์ไปทำงานนั้น หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องจ้างเหมาให้บุคคลอื่นทำการซ่อมแซมแทน จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินค่าแรงดังกล่าวให้โจทก์เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ต้องฟ้องรวมทั้งหมดในคราวเดียวกัน หากฟ้องซ้ำ ศาลยกฟ้อง
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้างนั้น โจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 20 และมาตรา 31 ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม และชำระค่าจ้างตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเลิกจ้างจนกว่าจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายที่ไม่มีงานทำ เงินเดือนสำหรับช่วงระยะเวลาการจ้างที่ยังไม่ครบกำหนด และค่าชดเชยโดยอาศัยเหตุแห่งการเลิกจ้างคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีแรงงาน: โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างเพิ่มเติม หลังคดีก่อนศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 20และมาตรา 31 ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน และชำระค่าจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างถึงวันที่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างและค่าชดเชย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงมีสาเหตุเนื่องจากการเลิกจ้างของจำเลย โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์ไม่เรียกร้องค่าเสียหาย และค่าชดเชยรวมไปกับคดีก่อน แต่กลับมาเรียกร้องเป็นคดีนี้โดยอาศัยเหตุการเลิกจ้างคราวเดียวกัน เมื่อคดีก่อนศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างต้องทำในคราวเดียวกัน หากเคยฟ้องเรื่องเลิกจ้างแล้ว การฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมถือเป็นการฟ้องซ้ำ
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการเลิกจ้างนั้น โจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 20 และมาตรา 31 ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม และชำระค่าจ้างตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเลิกจ้างจนกว่าจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายที่ไม่มีงานทำ เงินเดือนสำหรับช่วงระยะเวลาการจ้างที่ยังไม่ครบกำหนด และค่าชดเชยโดยอาศัยเหตุแห่งการเลิกจ้างคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยผิดสัญญาขายฝาก ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามสมควร แม้โจทก์พิสูจน์ความเสียหายไม่ได้ทั้งหมด
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายตามจำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยกำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน หาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยผิดสัญญาขายฝาก ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามสมควร แม้โจทก์มิได้พิสูจน์ความเสียหายตามฟ้อง
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้อง รับผิดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้ รับความเสียหายตาม จำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตาม สมควร โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดย กำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อ ศาลภายใน 30 วันหาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงภาระจำยอมยังผูกพัน แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนโอน
โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินและตกลง กันตาม บันทึกต่อ ท้ายสัญญาว่าจำเลยยินยอมจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์แม้โจทก์จะได้ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อ ให้แก่ จ. ไปแล้วในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็ยังอาศัยสิทธิดังกล่าวเรียกร้องให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมตาม ข้อตกลงได้ รวมตลอด ทั้งมีสิทธิได้ รับค่าเสียหายจากความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนฟ้องซึ่งขณะนั้นโจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดจากการกระทำของลูกจ้าง: เริ่มนับแต่วันเกิดเหตุ หรือวันที่จ่ายค่าเสียหาย?
โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่ง เป็นลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์และของบุคคลอื่นเสียหาย สำหรับค่าเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์อาจเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ได้นับแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นวันที่ก่อให้เกิดความเสียหายอันเป็นขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความจึงนับเริ่มตั้งแต่นั้น มิใช่นับเริ่มแต่ วันที่โจทก์ใช้ ค่าซ่อมรถของโจทก์ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้นอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง นับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ จนถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ ส่วนเงินที่โจทก์ใช้ให้แก่บริษัทประกันภัยเป็นค่าเสียหายจากการที่จำเลยขับรถชนรถที่บริษัทดังกล่าวรับประกันภัยเสียหาย ซึ่งโจทก์ผู้เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยผู้เป็นลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่จำเลยได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้จากจำเลยเมื่อโจทก์ได้ใช้ เงินให้แก่บริษัทดังกล่าวไป ดังนั้นอายุความในกรณีนี้ จึงต้องเริ่มนับแต่วันที่โจทก์ได้ใช้ เงินค่าเสียหายให้แก่บริษัทประกันภัยอันเป็นขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ เมื่อโจทก์ฟ้องยังไม่พ้นกำหนด10 ปี ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความ
of 283