พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 107/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า: อำนาจฟ้อง แม้ทรัพย์สินไม่ใช่ของเจ้าของสัญญา, การอุทธรณ์ข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวในศาลชั้นต้น, และการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่าซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันแม้ทรัพย์สินที่ให้เช่าจะมิใช่ของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์ จำเลยย่อมต้องผูกพันตามสัญญา เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าในฐานะตัวแทนของบุคคลอื่นนั้นมิได้มีอยู่ในคำให้การของจำเลย และถือไม่ได้ว่าประเด็นดังกล่าวรวมอยู่ในข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ การที่จำเลยจะต้องรับผิดในผลเสียที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้รับมอบทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาเช่าคืนหรือไม่นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลในชั้นต้น ที่พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 302วรรคแรกที่จะวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการบังคับคดีหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ผู้จัดการมรดกต้องยื่นคัดค้านก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าผู้จัดการมรดกของจำเลยไม่ได้รับการแจ้งการยึดและประกาศขายทอดตลาดที่พิพาทอันเป็นบังคับคดีฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 306 ก็ตาม แต่เมื่อผู้จัดการมรดกของจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดเข้ามาภายหลังจากการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการบังคับคดีได้ ตามมาตรา 296 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5997/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองชั่วคราวในชั้นบังคับคดี: สิทธิที่พิพาทต้องเกี่ยวข้องกับคดี และไม่ใช่การโต้แย้งสิทธิกับคู่ความอื่น
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาโดยมีคำขอในเหตุฉุกเฉินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254,266 จะต้องเป็นการขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีอ้างว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดเพียงว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่ามีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะไปว่ากล่าวเอากับโจทก์ต่างหากจากคดีนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ในชั้นนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5990/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินประจำตำแหน่ง ส.ส. ไม่อยู่ในข่ายเงินเดือนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286(2) บังคับคดีได้
เงินประจำตำแหน่ง เงินค่ารับรองและเงินช่วยเหลือค่าที่พักของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิใช่เงินเดือน ทั้งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิใช่ข้าราชการเงินทั้ง 3 ประเภทจึงไม่อยู่ในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการหรือลูกจ้างของ รัฐบาล ตามป.วิ.พ. มาตรา 286(2) โจทก์ย่อมขอบังคับคดีได้ กรณีนี้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลกำหนดเงินจำนวนตามที่เห็นสมควร เพื่อมิให้ต้องรับผิดในการบังคับคดีดังเช่นกรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (1) (3) (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5990/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินประจำตำแหน่ง ส.ส. มิใช่เงินเดือน จึงบังคับคดีได้
เงินประจำตำแหน่ง เงินค่ารับรองและเงินช่วยเหลือค่าที่พักของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิใช่เงินเดือน ทั้งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิใช่ข้าราชการเงินทั้ง 3 ประเภทจึงไม่อยู่ในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการหรือลูกจ้างของ รัฐบาล ตามป.วิ.พ. มาตรา 286(2) โจทก์ย่อมขอบังคับคดีได้ กรณีนี้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลกำหนดเงินจำนวนตามที่เห็นสมควร เพื่อมิให้ต้องรับผิดในการบังคับคดีดังเช่นกรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286(1)(3)(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินจากการบังคับคดีและมรดก: การจดทะเบียนสิทธิและการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์
สิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้มาในฐานะเป็นผู้ชนะคดีตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด และข้อตกลงในชั้นบังคับคดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับผู้แพ้คดีนั้นเป็นการได้สิทธิโดยผลของคำพิพากษา จึงแตกต่างกับสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้มาโดยทางมรดกในฐานะที่เป็นทายาท ซึ่งถือว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินแทนที่เจ้ามรดก แม้การได้สิทธิในที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาโจทก์ทั้งสองจะอ้างว่าเป็นทายาทของเจ้ามรดกก็หาใช่การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินโดยทางมรดกโดยทั่วไปอันจะต้องดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามลำดับขั้นตอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 81 ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 24(พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และระเบียบของกรมที่ดินว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก พ.ศ. 2516 ให้เสร็จสิ้นเสียชั้นหนึ่งก่อนไม่ โจทก์ทั้งสองชอบที่จะขอจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมได้ทันที แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็นสมควรไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5776/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินบังคับคดีค่าจ้าง จำเลยมีสิทธิขอหักภาษีเฉพาะเงินที่จ่ายในคราวนั้น มิใช่รวมกับเงินที่จ่ายไปก่อน
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จตุทศ, 50, 52 ให้บุคคลผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีเงินได้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างและนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องหักภาษีทุกคราวที่มีการจ่าย ถ้าจำเลยที่ 1 มิได้หักและนำส่งเงินภาษีให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ 1 ผู้มีเงินได้พึงประเมินด้วยตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ถ้าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 โดยตรงจำเลยที่ 1 มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในคราวที่จ่ายและนำส่งให้ถูกต้อง แต่เงินซึ่งได้จากการบังคับคดีสำหรับค่าจ้างที่ค้างชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 กรณีเช่นนี้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 แทนจำเลยที่ 1 เท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเองจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ได้ เพื่อจะได้ส่งเป็นเงินภาษีต่อไป
การหักภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้นแต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ขอให้กักไว้เป็นภาษี ณ ที่จ่ายในคดีนี้ จำเลยที่ 1 คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 รวมทั้งค่าจ้างที่จ่ายไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้หักภาษีไว้ดังนั้นจะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ 1คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น
เงินดอกเบี้ยของค่าจ้างมิใช่ค่าจ้างที่จะหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้
การหักภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้นแต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ขอให้กักไว้เป็นภาษี ณ ที่จ่ายในคดีนี้ จำเลยที่ 1 คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 รวมทั้งค่าจ้างที่จ่ายไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้หักภาษีไว้ดังนั้นจะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ 1คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น
เงินดอกเบี้ยของค่าจ้างมิใช่ค่าจ้างที่จะหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5776/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินบังคับคดีค่าจ้าง: การคำนวณภาษีเฉพาะเงินที่จ่ายในคราวปัจจุบัน
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จตุทศ,50,52ให้บุคคลผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีเงินได้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างและนำส่งณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องหักภาษีทุกคราวที่มีการจ่าย ถ้าจำเลยที่ 1มิได้หักและนำส่งเงินภาษีให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ 1 ผู้มีเงินได้พึงประเมินด้วยตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายถ้าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 โดยตรงจำเลยที่ 1 มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในคราวที่จ่ายและนำส่งให้ถูกต้อง แต่เงินซึ่งได้จากการบังคับคดีสำหรับค่าจ้างที่ค้างชำระเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 กรณีเช่นนี้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1แทนจำเลยที่ 1 เท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเอง จำเลยที่ 1ย่อมมีสิทธิจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ได้ เพื่อจะได้ส่งเป็นเงินภาษีต่อไป การหักภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้น แต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ขอให้กักไว้เป็นภาษี ณ ที่จ่ายในคดีนี้ จำเลยที่ 1คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1รวมทั้งค่าจ้างที่จ่ายไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้หักภาษีไว้ดังนั้นจะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ 1 คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น เงินดอกเบี้ยของค่าจ้างมิใช่ค่าจ้างที่จะหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5726/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิทำกินในที่ดิน สทก.1 ถือเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการครอบครองและการบังคับคดี
ทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดเป็นต้นผลอาสิน (ต้นทุเรียน เงาะ ขนุน ชมพู่) ในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติเรียกว่า สทก.1 ซึ่ง น. เป็นผู้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิครอบครองทำกินชั่วคราวมีเงื่อนไขว่า จะแบ่งแยกหรือโอนสิทธิหรือให้เช่าช่วงทำกินไปยังบุคคลอื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม ฉะนั้น น. จึงเป็นผู้มีสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าวแต่ผู้เดียว แม้ น. ได้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายทรัพย์ที่โจทก์นำยึดให้ผู้ร้อง ก็ไม่มีผลบังคับ เพราะการขายทรัพย์ดังกล่าวเป็นการขายในสภาพติดกับที่ดิน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครองทรัพย์ที่นำยึด จึงถือได้ว่าเป็นการโอนสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินดังกล่าวอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และเงื่อนไขดังกล่าว ทรัพย์ดังกล่าวจึงหาตกเป็นของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5696/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรส, หนี้ร่วม, การบังคับคดี, สิทธิในการร้องขอกันส่วน, การชำระหนี้แทน
ทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส จำเลยได้นำทรัพย์พิพาทไปจำนองไว้กับธนาคาร เพื่อค้ำประกันหนี้เงินกู้ของ ส. บุตรของจำเลยและผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้องให้ความยินยอม หนี้จำนองที่เกิดขึ้นในระหว่างสมรสจึงถือเป็นหนี้ร่วมกันที่จำเลยกับผู้ร้องต้องรับผิดร่วมกัน ส. ถูกธนาคารฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ จำเลยกลัวว่าทรัพย์พิพาทจะถูกยึดจึงขอกู้เงินจากโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้แก่ธนาคารเพื่อไถ่ถอนจำนอง เมื่อหนี้จำนองเป็นหนี้ร่วมกันและเงินที่นำไปชำระหนี้จำนองก็เป็นส่วนหนึ่งของหนี้ตามฟ้อง ซึ่งผู้ร้องกับจำเลยจะต้องรับผิดร่วมกัน ผู้ร้องเป็นภริยาของจำเลยไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วน.