พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,913 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้หลังล้มละลาย: เจตนาให้เจ้าหนี้รายหนึ่งได้เปรียบ
จำเลยเป็นหนี้ผู้คัดค้านตามสัญญาซื้อขายและรับสภาพหนี้ต่อมาจำเลยชำระหนี้ดังกล่าวด้วยการออกเช็คให้ไว้ ผู้คัดค้านฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว แต่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนั้น ความรับผิดตามสัญญาซื้อขายหรือการที่จำเลยชำระหนี้ด้วยการออกเช็คไว้เดิม จึงเป็นอันระงับไป กลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อตกลงให้ผู้คัดค้านไปถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาที่จำเลยได้ออกเช็คไว้ด้วยก็ตาม แต่หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็มิได้มีเฉพาะรายที่ผู้คัดค้านได้ร้องทุกข์ไว้ หากมีหนี้รายอื่นรวมอยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าที่จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลาย ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลายต้องพิจารณาเหตุผลอื่นนอกเหนือจากข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ใดเป็นบุคคลล้มละลายนั้น มิใช่อาศัยแต่ลำพังข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8 เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นมาประกอบที่พอแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวด้วย ดังนั้น ถ้าปรากฏเพียงว่า จำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วรวม 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นมาสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงฐานะของจำเลยว่าตกอยู่ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างใด ทั้งจำเลยได้นำสืบว่าหนี้ระงับแล้วและจำเลยอยู่ในฐานะจะชำระหนี้ได้ จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: ศาลต้องพิจารณาเหตุผลอื่นประกอบข้อสันนิษฐานทางกฎหมาย เพื่อประเมินฐานะหนี้สินที่แท้จริงของผู้ถูกฟ้อง
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นบุคคลล้มละลายนั้นนอกจากจะอาศัยข้อเท็จจริง อันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายแล้ว ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นมาประกอบที่พอแสดงให้เห็นว่าจำเลยตก อยู่ ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง ลำพังแต่ทางนำสืบของโจทก์แม้จะได้ความตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย แต่ถ้า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นมาสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงฐานะของจำเลยว่าตก อยู่ ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างใด ทั้งจำเลยได้นำสืบว่าหนี้ระงับแล้ว และจำเลยอยู่ในฐานะชำระหนี้ได้ จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตก เป็นบุคคลล้มละลาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: ศาลต้องพิจารณาเหตุผลอื่นประกอบข้อสันนิษฐานทางกฎหมาย เพื่อยืนยันฐานะหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ใดเป็นบุคคลล้มละลายนั้น มิใช่อาศัยแต่ลำพังข้อเท็จจริงอันเป็นเงื่อนไขตามข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8 เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิเคราะห์ถึงเหตุผลอื่นมาประกอบที่พอแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวด้วย ดังนั้นถ้าปรากฏเพียงว่า จำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วรวม 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นมาสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงฐานะของจำเลยว่าตกอยู่ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างใด ทั้งจำเลยได้นำสืบว่าหนี้ระงับแล้วและจำเลยอยู่ในฐานะจะชำระหนี้ได้ จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5964/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย: อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และกระบวนการคัดค้าน
เมื่อการบังคับคดียังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเรียกทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแพ่งสามัญมารวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย จึงเป็นการโอนการยึดทรัพย์มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 112 การคัดค้านการยึดทรัพย์กรณีนี้พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 158 บัญญัติวิธีการไว้โดยให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดก็ให้มีสิทธิร้องขอต่อศาลเป็นการเฉพาะแล้ว ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติไว้อีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5964/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการยึดทรัพย์จากคดีแพ่งสู่คดีล้มละลาย และวิธีการคัดค้านการยึดทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อการบังคับคดียังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเรียกทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแพ่งสามัญมารวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย จึงเป็นการโอนการยึดทรัพย์มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 112 การคัดค้านการยึดทรัพย์กรณีนี้พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 158 บัญญัติวิธีการไว้โดยให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดก็ให้มีสิทธิร้องขอต่อศาลเป็นการเฉพาะแล้ว ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติไว้อีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีล้มละลาย: จำนวนทุนทรัพย์เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ในคดีล้มละลายที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันและเรียกให้ชำระหนี้นั้น ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ หากหนี้ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5680/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้หมดอำนาจ
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ ต่อมาวันที่ 25มิถุนายน 2530 จำเลยถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ครั้นวันที่29 มิถุนายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดเช่นนี้ จำเลยจะร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้อำนาจในการดำเนินคดีย่อมตก แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้อง ของจำเลยที่ขอคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจคุ้มครองป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลจึงไม่มีหน้าที่ต้องสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5673/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีหนี้สินล้นพ้นตัวและการพิพากษาให้ล้มละลายจากพฤติการณ์หลีกเลี่ยงชำระหนี้
จำเลยทั้งสองถูกเจ้าหนี้รายอื่นกับโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญา หลายเรื่อง จำเลยที่ 2 จึงได้หลบหนีไป และในการส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ต้องประกาศ หนังสือพิมพ์ ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนก็ต้องส่งโดยวิธีปิดหมาย โดยเจ้าพนักงานผู้ส่งหมายรายงานว่าไม่มีป้ายชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 อยู่ที่ภูมิลำเนาตามฟ้อง ทั้งโจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินใดที่จะชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่และปิดสถานที่ประกอบธุรกิจเพื่อประวิงการชำระหนี้ หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 8(4) ข.แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5673/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาให้ล้มละลายจากพฤติการณ์หลบหนี้ ซ่อนทรัพย์สิน และมีหนี้สินล้นพ้นตัว
จำเลยทั้งสองถูกเจ้าหนี้รายอื่นกับโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญา หลายเรื่อง จำเลยที่ 2 จึงได้หลบหนีไป และในการส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ต้องประกาศ หนังสือพิมพ์ ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนก็ต้องส่งโดยวิธีปิดหมาย โดยเจ้าพนักงานผู้ส่งหมายรายงานว่าไม่มีป้ายชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 อยู่ที่ภูมิลำเนาตามฟ้อง ทั้งโจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินใดที่จะชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่และปิดสถานที่ประกอบธุรกิจเพื่อประวิงการชำระหนี้ หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 8(4) ข.แล้ว