คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานก่อนยุติข้อเท็จจริงเรื่องราคาสินค้าเป็นวิธีพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวน
ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดง-รายการการค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ทั้ง ๆที่ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้าคือราคาเท่าใด คำสั่งงดสืบพยานและคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ให้ย้อนสำนวนก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า กรณีไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง แล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุข้อฎีกาเกินกรอบการอุทธรณ์ และปัญหาการบังคับคดี
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ.ร้อยตำรวจโทพ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้งและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษาแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่เมื่อส่งหมายไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) บัญญัติว่าการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติเพียงว่าให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งโดยมิได้บังคับว่าต้องอ่านต่อหน้าคู่ความทุกฝ่ายเสมอไป การที่ศาลชั้นต้นงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทุกฝ่ายฟังเพราะไม่มีคู่ความมาศาล โดยปรากฏตามรายงานการเดินหมายว่ามีการปิดหมายให้จำเลยทั้งห้าไว้แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่า การส่งหมายโดยวิธีปิดหมายดังกล่าวไม่ชอบเพราะเป็นการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้ย้ายไปก่อนปิดหมายแล้ว ก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียไป ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังอีกเพราะถือว่าได้อ่านตามกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อแตกต่างรายละเอียดวันเวลากระทำผิดไม่กระทบสาระสำคัญ ศาลฎีกาใช้ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาเพื่อลงโทษจำเลยได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เวลาเกิดเหตุดังกล่าวแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่าวันที่ 2 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย และเห็นจำเลยร่วมเพศกับมารดาผู้เสียหาย เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านย้าย แล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลยข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบเป็นการกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับเวลาเกิดเหตุตามฟ้องแสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลาง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในประเด็นนั้น ศาลฎีกาสั่งริบได้หากมีคำขอริบ
ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบของกลาง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดและที่ได้มาโดยได้กระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะแม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้ว ทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลย ก็ชอบที่จะต้องทำคำวินิจฉัยในเรื่องของกลางได้ด้วย ศาลฎีกาให้ริบของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3047/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดฐานพยายามฆ่าและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยทำท่าฮึดฮัดจะชักอาวุธปืนยิงผู้เสียหายซึ่งแสดงว่าผู้เสียหายกับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงมีเหตุทำให้ระแวงสงสัยส่วนที่โจทก์อ้างส่งคำให้การชั้นสอบสวนของ ย. ที่ระบุว่าในวันเกิดเหตุ ย. ได้ยินจำเลยพูดกับเพื่อนของจำเลยว่า อย่างผู้เสียหายไม่ต้องยิงให้เสียเวลาหรอกแค่ขว้างก็ช็อกตายแล้วนั้นคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งานตามโครงการ: ศาลฎีกายกอุทธรณ์ข้อโต้แย้งเรื่องวันสิ้นสุดสัญญา เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างรับฟังแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า งานที่โจทก์ทำเป็นงานตามโครงการและสัญญาจ้างที่โจทก์ทำไว้กับจำเลย ได้กำหนดวันสิ้นสุดของการจ้างไว้ตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์อุทธรณ์ว่างานที่จำเลยจ้างเป็นงานตามสัญญาจ้างทำของไม่ใช่งานตามโครงการ สัญญาจ้างโจทก์ไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุดของการจ้างไว้ จำเลยมากรอกวันสิ้นสุดของการจ้างในภายหลังเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมา เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินมือเปล่าและการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายกประเด็นข้อกฎหมายและส่งกลับให้ศาลชั้นต้นพิจารณา
ที่ดินมือเปล่า ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ และไม่มีกรณีที่จะได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่และต้องรับผิดในทางแพ่งต่อโจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นกรรมสิทธิ์และการครอบครอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทนเพราะโจทก์ทราบดีอยู่แล้วในขณะรับโอนว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมานานกว่า 20 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยกลับนำสืบว่า เดิมที่พิพาทเป็นของ ด.ย่าของจำเลยด. มีที่ดินอยู่2 แปลง คือที่พิพาทและที่ดิน ส.ค.1 ซึ่งเป็นที่ป่า ที่ดิน ส.ค.1ซึ่งเป็นที่ป่านั้น เดิมจำเลยเข้าใจว่าเป็นที่ดินมีโฉนด ส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด จำเลยเข้าใจว่าเป็นที่ดิน ส.ค.1 ที่ดินส.ค.1 ซึ่งเป็นที่ป่า ย. บิดาจำเลยได้โอนให้แก่ น. ดังนี้การที่จำเลยนำสืบว่า ที่ดินที่ น.เจ้ามรดกซื้อมาจาก ย. บิดาจำเลย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2480 เป็นที่ป่าคนละแปลงกับที่พิพาทและการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่ากรณีเช่นนี้จึงน่าเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญผิดกัน คือ ย. ตกลงขายที่ดินที่เป็นที่ป่าให้แก่ น. จึงเป็นเรื่องสำคัญผิดในหลักฐานของที่ดิน น.ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินป่าแปลงนั้น หาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทไม่ กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังเป็นของ ย.อยู่เมื่อย. ตายที่พิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ก็ตาม แต่ประเด็นข้อนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงปัญหาว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายหรือไม่ และโจทก์รับซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ด้วย แม้ว่าปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยมา คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปเสียเองทีเดียวได้แล้วก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัยได้ หากผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานที่ไม่ชัดเจนเพียงพอ ศาลฎีกายืนยกฟ้อง
วันเกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ผู้เสียหายอ้างว่าจำเสียงของชายร่างเล็กที่สวมหมวกผ้าสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าโดยโผล่ ให้เห็นเพียงลูกนัยน์ตาได้ว่าเป็นจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นคนรู้จักและเห็นหน้ามาก่อน ประกอบกับรูปร่างลักษณะของคนพูดก็ตรงกับจำเลยที่ 4 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจำรูปร่างและน้ำเสียง ของจำเลยที่ 4 ได้โดยอาศัยหลักการสังเกตจากอะไร และจำเลยที่ 4 มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างไร เพียงบอกว่ารูปร่างคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็น หรือรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4 โดยไม่ทราบว่าที่ว่าคุ้น ๆ นั้นคุ้นเช่นใด และตรงกับรูปร่างของจำเลยที่ 4 ในส่วนไหนแม้จำเลยที่ 4 จะเสนอใช้ค่าเสียหายแต่ก็มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 เมื่อถูกจับก็ปฏิเสธมาตลอดและไม่ได้หลบหนีไปไหน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้.
of 344