พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7581/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพัน หากไม่อุทธรณ์ภายในกำหนด โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำไว้กับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอมนั้น หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง(1)(3)และการอุทธรณ์นั้นจำเลยต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามมาตรา 229 เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมภายในกำหนดดังกล่าวย่อมเป็นอันถึงที่สุดและมีผลผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับคดีและนำยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์โดยอ้างเหตุว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำกับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอม เป็นนิติกรรมอำพรางที่โจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยหลงทำขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7558/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จากการรังวัดที่ดินพิพาท การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือคำคัดค้านของข.สามีจำเลยที่คัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์จำเลยให้การว่าเหตุที่ข. ยื่นหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์เพราะโจทก์นำช่างรังวัดปักหลักรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของข. ประเด็นโต้เถียงจึงมีว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือข. อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7549/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และคดีขอปลดเปลื้องทุกข์
โจทก์กล่าวในฟ้องถึงการกระทำของจำเลยแยกจากกันเป็นสองกรณี คือ จำเลยเป็นตัวการจ้างวานบุคคลอื่น ทำการขุดร่องน้ำในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวน ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของบุคคลซึ่งจำเลยว่าจ้างทำให้โดนท่อน้ำประปาของโจทก์ ซึ่งฝังไว้บริเวณทางเข้าที่ดินโจทก์แตกหักเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเงิน 100 บาท จำเลยในฐานะตัวการและผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบต่อ ความเสียหายดังกล่าวกรณีหนึ่ง และหลังจากที่จำเลยจ้างบุคคลอื่นขุดร่องน้ำในที่ดินดังกล่าวซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่ทำสวนและเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์แล้ว จำเลยได้เอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งสูบน้ำขึ้นจากคลองชลประทานสัมปทวน เข้าไปในร่องน้ำดังกล่าว เป็นเหตุให้น้ำไหลเอ่อท่วมที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถปลูกพืชทำสวนในที่ดินนั้น ตลอดจนบริเวณพื้นที่รัศมีคลองชลประทานสัมปทวนได้อีกกรณีหนึ่ง ดังนี้ ในกรณีแรกโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้ ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อน้ำประปาเป็นเงิน 100 บาท เมื่อความเสียหายส่วนนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดิน ของโจทก์เป็นเงิน 1,500 บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ 1,000 บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบและเมื่อคดีในส่วนนี้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดิน ของโจทก์เป็นเงิน 1,500 บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ 1,000 บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบและเมื่อคดีในส่วนนี้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7540/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดี และการทิ้งฟ้องที่มิชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจำหน่ายคดี วันที่ 6 มีนาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะโจทก์ไม่ได้จงใจทิ้งฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ว่า เมื่อโจทก์ได้ลงชื่อในท้ายคำร้องทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลในวันนั้นแล้วให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดี เมื่อวันที่ 8 เมษายน2535 ดังนี้ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเสียได้หากมีเหตุผลสมควร กรณีจึงต้องถือว่ากำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2535อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 8เมษายน 2535 จึงไม่พ้นกำหนด 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 229
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์โดยให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการวางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่ทนายจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วการที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมาย ซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์โดยให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการวางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่ทนายจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วการที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมาย ซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7540/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเนื่องจากทิ้งฟ้อง: การพิจารณาความชอบด้วยกระบวนพิจารณาและกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจำหน่ายคดี วันที่ 6 มีนาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี เพราะโจทก์ไม่ได้จงใจทิ้งฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ว่า เมื่อโจทก์ได้ลงชื่อในท้ายคำร้องทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลในวันนั้นแล้วให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2535 ดังนี้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวเสียได้หากมีเหตุผลสมควร กรณีจึงต้องถือว่ากำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2535 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของโจทก์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ในวันที่8 เมษายน 2535 จึงไม่พ้นกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์โดยให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบภายใน 7 วันมิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์วางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการวางเงินค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายแก่ทนายจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วการที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมายซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการส่งหมายแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7493/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนในการระงับการจ่ายเงินทดแทนชั่วคราวขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ตามที่ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 32 (5)ระบุว่า คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 52 นั้น หมายความว่ามีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ให้จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบห้าหรือไม่ แต่จะมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินทดแทนเป็นการชั่วคราวหาได้ไม่ เพราะการมีคำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการทุเลาการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นการขัดต่อมาตรา 54 แห่ง พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 ที่บัญญัติเป็นใจความว่าการอุทธรณ์หรือนำคดีไปสู่ศาลไม่เป็นการทุเลาการปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือของคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี
แม้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนจะมีอำนาจในการรวบรวมพยานหลักฐานโดยจะเป็นผู้รวบรวมเอง หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยรวบรวมก็เป็นการกระทำเพื่อนำมาพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์นั่นเอง และเมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าเห็นด้วยกับอุทธรณ์และสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของพนักงานเงินทดแทนที่ให้จ่ายเงินทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามสิบห้า ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนยังต้องวินิจฉัยต่อไปแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าถือว่าคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีอำนาจที่จะมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินทดแทนเป็นการชั่วคราวแล้วก็จะมีผลเป็นการเปิดช่องให้มีการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของมาตรา 54 ได้ ย่อมไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว
แม้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนจะมีอำนาจในการรวบรวมพยานหลักฐานโดยจะเป็นผู้รวบรวมเอง หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยรวบรวมก็เป็นการกระทำเพื่อนำมาพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์นั่นเอง และเมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าเห็นด้วยกับอุทธรณ์และสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของพนักงานเงินทดแทนที่ให้จ่ายเงินทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามสิบห้า ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนยังต้องวินิจฉัยต่อไปแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าถือว่าคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีอำนาจที่จะมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินทดแทนเป็นการชั่วคราวแล้วก็จะมีผลเป็นการเปิดช่องให้มีการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของมาตรา 54 ได้ ย่อมไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7493/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนในการระงับจ่ายเงินทดแทนระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ขัดต่อหลักการตามพรบ.เงินทดแทนมาตรา 54
ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทนพ.ศ.2537มาตรา32(5)คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ให้จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่แต่จะมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินทดแทนเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายจ้างหาได้ไม่เพราะการมีคำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการทุเลาการปฎิบัติตามคำวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นการขัดต่อมาตรา54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7481/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีและการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นบังคับคดี จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว
แม้เป็นชั้นบังคับคดีแต่เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์อันอาจให้ผู้อื่นเช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเพียงเดือนละ1,000บาทไม่มีการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่ามีเหตุให้งดการบังคับคดีไว้ได้หรือไม่เพียงใดจึงเป็นอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสองจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จึงไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยในคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วจำเลยไม่มีสิทธิฎีกา การออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอหรือให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา293หรือไม่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อนดังนั้นแม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)จะให้อำนาจศาลทำการไต่สวนตามเห็นสมควรก่อนมีคำสั่งได้แต่กรณีตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา293ได้จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7364-7365/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ของผู้เสียหายที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในสำนวนคดีอาญา
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแต่ในสำนวนหลังของศาลชั้นต้นผู้เสียหายมิได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้วโจทก์และจำเลยที่8(โจทก์และจำเลยในสำนวนหลัง)มิได้ยื่นอุทธรณ์ผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์การที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนแรกยื่นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์เกี่ยวกับสำนวนคดีหลังจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบศาลอุทธรณ์ภาค1ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค1เกี่ยวกับจำเลยที่8จึงไม่ชอบและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่8ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7158/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดมูลค่าคดีและขอบเขตการอุทธรณ์: คดีแบ่งที่ดินพิพาท ศาลฎีกาวินิจฉัยการคิดทุนทรัพย์และการห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ5ไร่85ตารางวาเท่าๆกันจำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวที่พิพาททั้งแปลงราคา196,375 บาทโดยโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจะได้รับส่วนแบ่งคนละ1ส่วนดังนั้นที่พิพาทที่โจทก์ทั้งสี่จะได้รับตามฟ้องมีราคารวม157,100บาทซึ่งจำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวจึงไม่อาจแยกคิดทุนทรัพย์แต่ละส่วนตามที่โจทก์ทั้งสี่ขอมาได้อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์157,100บาทไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง