พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป้องกันตนเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง โดยใช้ปืนยิงตอบโต้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ไม้ที่ผู้ตายจะใช้ตีจำเลยมีขนาดใหญ่และยาวพอสมควรที่จะใช้เป็นอาวุธตีจำเลยให้ถึงแก่ความตายได้ และขณะนั้นผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราย่อมขาดความยับยั้ง จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นยามป้องกันทรัพย์สินของโรงงาน และสัญชาตญาณป้องกันตนเองจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายโดยกะทันหันทันที แม้กระสุนจะถูกผู้ตายที่หน้าอกก็ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเลือกยิงตรงหน้าอกเพราะเป็นเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสที่จำเลยจะเลือกยิงส่วนใดของผู้ตายหรือยิงขู่ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1984/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คำขอค่าเสียหายในคดีอาญา vs. คดีแพ่ง – ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่มีการฎีกา
ก่อนฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแขวง ในฐานความผิดฐานยักยอกทรัพย์ กับมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายซึ่งขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และเป็นโจทก์ในคดีนี้ เงินจำนวนตามคำขอดังกล่าวเป็นรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับจำเลยที่ 1 ในคดีนี้โดยโจทก์ยื่นฟ้องในระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำขอบังคับของโจทก์ในคดีนี้กับคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าว เป็นเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าว อันต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173 วรรคสอง(1) ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ชำระค่าเอกสารภายหลังคำพิพากษา ศาลฎีกาพิจารณาจากเจตนาในการแก้ไขข้อหลงลืม
โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วแต่ก่อนที่จำเลยจะฟ้องอุทธรณ์ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นพยานเอกสารและได้แก้ไขข้อหลงลืมแล้ว ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ถึงกับเสียไป ศาลฎีกาย่อมรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของโจทก์มาประกอบการวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่จำเลยอ้างเรื่องประกันภัยขัดแย้งกับคำให้การเดิม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นความรับผิดของผู้รับประกัน
ปัญหาว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ด้วยหรือไม่นั้น ปัญหาข้อนี้โจทก์มิได้ฎีกาและจำเลยที่ 2ให้การว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่ได้ชำระเบี้ยประกันเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัยกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในคดีนี้ด้วย การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 2 แล้ว จึงต้องร่วมรับผิดด้วยนั้น จึงเป็นฎีกาที่ขัดแย้งและนอกเหนือคำให้การของตน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1736/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาโดยอ้างกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่มีการฎีกาในประเด็นนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 2,4,56,83 แต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติทางหลวงพ.ศ. 2535 มาตรา 3 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2535 เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2535 จำเลยได้กระทำความผิดและขอให้ลงโทษตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงเท่ากับโจทก์ขอให้ ลงโทษ ตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย ไม่ใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลจะ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้น วินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1736/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่มีการฎีกาเรื่องกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ซึ่งได้ถูกยกเลิกแล้ว มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย ไม่ใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข: ศาลฎีกาชี้ว่าฟ้องแย้งที่อ้างเหตุละเมิดหลังปฏิเสธการเลิกจ้าง เป็นฟ้องแย้งที่ไม่สมควรรับพิจารณา
ในชั้นแรกจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธฟ้องว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ ต่อมากลับให้การว่า หากศาลฟังว่าเป็นการเลิกจ้าง ก็เป็นการเลิกจ้างด้วยความเป็นธรรมเพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากโรงงานผู้ขายสินค้ากับประกอบกิจการค้าอันมีสภาพอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับจำเลยที่ 1 และเปิดเผยความลับในทางการค้าของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งเพราะเหตุละเมิดดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขที่ไม่สมควรจะรับไว้พิจารณากับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาไม่รับฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และพิจารณาความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบรองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน 15.90กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฎว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรก อีก
ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรก อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่ายและการปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ศาลฎีกาไม่อนุญาตฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2523 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบครองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน15.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ76 วรรคแรก อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า, ฆ่าผู้อื่น, และมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาชั้นต้นและอุทธรณ์
คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกตลอดชีวิต โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย