พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6485/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์สั่งงดการพิจารณาคดีระหว่างอุทธรณ์และการห้ามฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 228 วรรคสาม เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งจนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น คำสั่งนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6485/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลพินิจศาลอุทธรณ์สั่งงดการพิจารณาคดีระหว่างอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และการห้ามฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 วรรคสาม เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฟ้องแย้งและคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมหรือไม่ก็ได้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่ให้ ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 226(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้ชี้ว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องทุนทรัพย์ในคำสั่งระหว่างพิจารณา และการสั่งจำหน่ายคดีไม่ถูกต้องหากโจทก์ยังอุทธรณ์ฎีกาอยู่
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน15วันโจทก์อุทธรณ์ว่าไม่ต้องเสียศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและโจทก์มิได้ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีและขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์นั้นไม่ถูกต้องเพราะศาลอุทธรณ์ยังมิได้สั่งรับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จึงยังไม่มีอำนาจวินิจฉัยการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกแต่การที่โจทก์ไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่อาจถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดอันจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานหลังกำหนด & การอุทธรณ์คำสั่งศาล - ทุนทรัพย์น้อยกว่า 27,500 บาท
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 88 ให้อำนาจไว้ เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 27,500 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และมาตรา 248วรรคหนึ่ง ตามลำดับ การที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว เป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้น อันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานหลังกำหนดเวลา และข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีทุนทรัพย์น้อย
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 ให้อำนาจไว้เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 27,500 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งและมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ตามลำดับ การที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้น อันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับบัญชีระบุพยานหลังพ้นกำหนด & ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อย
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ให้อำนาจไว้เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500บาทคู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งและมาตรา248วรรคหนึ่งตามลำดับการที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นอันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6452/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ผู้เช่า: ค่าเช่าไม่เกิน 2,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และเจ้าของรวมมีอำนาจฟ้อง
การพิจารณาว่าคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง กล่าวคือหากมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โดยถือเอาค่าเช่าจริง ๆ ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ส่วนที่จะฟังว่าอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทนั้น เป็นเรื่องการฟ้องผู้อาศัยหรือบุคคลอื่นซึ่งมิได้กำหนดค่าเช่ากันไว้ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าให้ออกจากตึกแถวพิพาท และตามสัญญาเช่ากำหนดค่าเช่าไว้ในอัตราเดือนละ 100 บาท ซึ่งไม่เกินเดือนละสองพันบาท จึงต้องห้ามคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าหากนำตึกแถวและที่ดินไปปรับปรุงแล้วนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 บาท และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจะได้ค่าเช่าประมาณอัตราเดือนละ 4,000 บาท นั้น เป็นการกำหนดค่าเสียหายในอนาคตอันเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทเท่านั้น จะนำมาเป็นเกณฑ์พิจารณาคดีต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 เมื่อมีบุคคลภายนอกมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งอาจฟ้องร้องว่ากล่าวหรือต่อสู้คดีโดยลำพังได้ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในตึกแถวพิพาทที่ให้จำเลยเช่าไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ที่ 1 ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 1ก็ตาม แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 2ย่อมต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมคือโจทก์ที่ 1 โดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 545 ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดและโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาทแล้วจำเลยก็มีหน้าที่ต้องส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองการที่จำเลยยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทต่อไปอีกย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทไม่อาจใช้ประโยชน์จากตึกแถวพิพาทได้และโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่สามารถส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงให้เห็นอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6412-6413/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์เกินกำหนด และการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
จำเลยที่1และที่2ฎีกาทั้งสองสำนวนว่าเหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่2แต่เพียงฝ่ายเดียวและค่าเสียหายสูงเกินความจริงล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและในการกำหนดค่าเสียหายจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อสำนวนแรกมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง สำหรับสำนวนหลังแม้จำเลยที่1และที่2จะร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีเดียวกันให้ชำระหนี้รวมเป็นเงิน208,801.55บาทก็ตามแต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เรียกร้องให้โจทก์ทั้งสามรับผิดต่อจำเลยที่1และที่2เป็นหนี้แบ่งแยกได้การคิดทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีจึงต้องคิดทุนทรัพย์ตามฟ้องของจำเลยที่1และที่2แยกต่างหากจากกันคดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยที่1และที่2แม้ว่าคดีในส่วนของจำเลยที่2ซึ่งมีทุนทรัพย์165,801.55บาทจะไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่2ก็ไม่อาจฎีกาในข้อเท็จจริงได้เพราะทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่1ซึ่งมีทุนทรัพย์เพียง43,000บาทเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องคดีย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่1และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ย่อมเป็นการไม่ชอบเมื่อจำเลยที่1ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อมาก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6409/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการขยายระยะเวลาอุทธรณ์ แม้มีการแต่งตั้งทนายความใหม่
แม้จำเลยจะเพิ่งตั้งให้ ส.เข้ามาเป็นทนายความของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยก็มิได้แถลงให้ศาลทราบว่าไม่ต้องการให้ ว.ทนายความคนก่อนเป็นทนายความของจำเลยต่อไป หรือยื่นคำร้องขอถอน ว.จากการเป็นทนายความของจำเลย ว.จึงยังเป็นทนายความของจำเลยอยู่และมีอำนาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6321/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดหน่วงรถยนต์เพื่อชำระหนี้ค่าซ่อม และการไม่อุทธรณ์ฎีกาโดยไม่มีเหตุผลสมควร
จำเลยเป็นหนี้ค่าซ่อมรถยนต์จำนวน233,149บาทเมื่อโจทก์วางบิลเพื่อเก็บเงินตามข้อตกลงแล้วจำเลยไม่ยอมรับการวางบิลและไม่ยอมชำระเงินดังกล่าวจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดโจทก์จึงมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ของจำเลยที่รับซ่อมไว้ได้จนกกว่าจะได้รับชำระหนี้ ข้อที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาล้วนเป็นประเด็นโดยตรงและเป็นสาระแก่คดีซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ได้รับวินิจฉัยมาตลอดหาได้ส่อความไม่สุจริตในการดำเนินคดีหรือประวิงการชำระหนี้ไม่จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นกว่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(6)