คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรม
การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ซึ่งมิใช่ไม้หวงห้ามโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ด้วย เพราะตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่5) พ.ศ. 2518 มาตรา 19 นั้น การตั้งโรงงานแปรรูปไม้จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้เสมอไป มิฉะนั้นถือเป็นความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เพียงแต่มีการตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ แม้ยังมิได้แปรรูปไม้ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โรงงานแปรรูปไม้ที่ตั้งขึ้นจะใช้แปรรูปไม้หวงห้ามหรือมิใช่ไม้หวงห้ามจึงไม่เป็นข้อสำคัญ สำหรับ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 50 (4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 6 นั้น เป็นข้อยกเว้นเฉพาะกรณีการแปรรูปไม้ และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองเท่านั้น ส่วนการตั้งโรงงานแปรรูปไม้หาได้อยู่ในข่ายข้อยกเว้นตามบทมาตราดังกล่าวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งนัดพยาน: ระยะเวลาแจ้งนัดต้องเหมาะสมเพื่อให้จำเลยทราบวันนัดตามกฎหมาย หากระยะเวลาไม่เพียงพอ ศาลต้องเลื่อนคดี
เมื่อระยะเวลานับแต่วันที่ปิดหมายนัดแจ้งให้ผู้ร้องทราบวันนัดสืบพยานจนถึงวันนัดสืบพยานดังกล่าวยังไม่พ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันอันจะถือว่าการส่งหมายนัดมีผลดังนั้นแม้ผู้ร้องจะไม่มาศาลและไม่ขอเลื่อนคดีศาลก็จำเป็นต้องเลื่อนคดีอยู่แล้วเพราะยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ทราบวันนัดสืบพยานตามกฎหมายกรณีจึงมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีตามที่ขอได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าพนักงาน
ในการจับนั้น เจ้าพนักงานหรือราษฎรซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ จำเลยกับพวกมิได้บอกว่าโจทก์จะต้องถูกจับ เพียงแต่แจ้งว่าจะเอาไปสอบสวนคดีใหม่ และไม่ได้บอกด้วยว่าคดีอะไร โจทก์เข้าใจว่าเอาไปสอบสวนเพิ่มเติมคดีเรื่องโคของโจทก์หายที่เคยแจ้งความไว้ จึงได้ไปกับจำเลย ดังนี้ ถือว่าเป็นการจับโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
จำเลยเป็นตำรวจตำแหน่งสารวัตรใหญ่ โกรธแค้นโจทก์ที่มีหนังสือร้องเรียนถึงผู้กำกับฯ กล่าวหาว่าจำเลยรับสินบนจากผู้ต้องหา 2 คน ข้อหาลักทรัพย์ของโจทก์แล้วสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาสองคนนั้น จำเลยกับตำรวจอื่นที่สถานีเดียวกันได้นำตัวโจทก์ไปโดยอ้างว่าจะพาไปสอบสวนคดีใหม่แต่พาโจทก์ไปที่บ้านพักตำรวจแห่งหนึ่ง แล้วทำร้ายโจทก์และใส่กุญแจมือแล้วพาโจทก์ไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจดังนี้ เป็นการกระทำที่ลุอำนาจและเกินความเหมาะสมในการจับกุม เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษจำคุกแต่โทษคงเดิม ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา219 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อาวุธปืนใช้ไม่ได้ก็ผิดกฎหมาย: พกพาอาวุธโดยสภาพ แม้ใช้ยิงไม่ได้ ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.อาวุธปืน
อาวุธปืนแม้จะไม่มีลูกโม่และแกนลูกโม่ปืน ไม่สามารถใช้ยิงได้ ก็เป็นอาวุธโดยสภาพตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1(5)เมื่อจำเลยพาไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 371(อ้างคำพิพากษาฎีกาประชุมใหญ่ที่ 1903/2520)
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ มิได้จำกัดเฉพาะว่าอาวุธปืนนั้นจะต้องสามารถใช้ยิงได้จึงจะเป็นความผิด เมื่ออาวุธปืนของกลางที่จำเลยพกพาติดตัวไปเป็นอาวุธปืนตามความหมายของกฎหมายก็ต้องด้วยเงื่อนไขที่บัญญัติเป็นความผิดแล้วแม้ไม่อาจใช้ยิงได้ก็ถือว่าจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายดังกล่าวแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดอาวุธปืน: การมีอาวุธที่อนุญาตได้ กับกระสุนที่ไม่อนุญาต ถือเป็นความผิด 2 กรรม
จำเลยรับตามฟ้องว่ามีกระสุนปืนชนิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เองว่าเป็นกระสุนปืนอย่างอื่นศาลต้องลงโทษตามฟ้องและคำรับสารภาพ แม้ปืนชนิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตได้ กับกระสุนปืนที่ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ จำเลยมีไว้ ในวาระเดียวกันกฎหมายบัญญัติโทษไว้ต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกันตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 72 วรรคแรก กับมาตรา78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1383/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเงินบำเหน็จ: ข้อบังคับบริษัทขัดกับกฎหมาย อายุความตามกฎหมายมีผลบังคับใช้
อายุความที่กฎหมายกำหนดไว้ผู้ใดหาอาจขยายออกหรือย่นเข้าได้ไม่ ข้อบังคับของบริษัทนายจ้างที่ให้ลูกจ้างยื่นคำร้องขอรับบำเหน็จต่อบริษัทเมื่อพ้นจากการเป็นพนักงานภายใน 3 เดือนจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหารคดีความมั่นคงและผลของประกาศคณะปฏิวัติ แม้มีรัฐธรรมนูญ
การที่ศาลได้รับคำฟ้องไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสืบพยานหรือต้องวินิจฉัยว่าฟ้องมีมูลหรือไม่เสมอไป ถ้าศาลเห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ชอบที่จะงดการไต่สวนมูลฟ้องและพิพากษายกฟ้องได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโฆษณาหรือประกาศให้บุคคลอื่นประทุษร้ายต่อชีวิตโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85และมีคำขอท้ายฟ้องโดยอ้างมาตรา 288 มาด้วย ต้องถือว่า โจทก์มีความประสงค์ให้ลงโทษตามมาตรา 288 เพราะตามมาตรา 85 นั้น เมื่อจะใช้ก็ต้องโยงไปประกอบมาตรา 288 ด้วย ดังนั้น เมื่อเหตุในคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก และความผิดตามมาตรา 288 อยู่ในอำนาจของศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา
เมื่อคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมมีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่งอันถือว่าเป็นกฎหมายใช้บังคับแก่ประชาชนได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศใช้แล้วก็ตาม แต่เมื่อไม่มีกฎหมายยกเลิกประกาศหรือคำสั่งดังกล่าวประกาศหรือคำสั่งนั้นก็ยังคงเป็นกฎหมายใช้บังคับอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไล่ออกจากราชการ: ศาลไม่อำนาจพิจารณาหากมีการอุทธรณ์ตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว
โจทก์มีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และจำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนแล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะรัฐมนตรีมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากราชการตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หากโจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ออกจากราชการไม่ถูกต้องก็อุทธรณ์ได้และโจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อนายรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 มาตรา 104 แล้ว คำสั่งของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 105 ของกฎหมายดังกล่าวเว้นแต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการฟังข้อเท็จจริงหรือการใช้ดุลพินิจนั้นไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนเป็นเพียงพอหรือมิได้เป็นไปโดยสุจริต แต่โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าคำสั่งของนายกรัฐมนตรีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมิได้บรรยายว่าคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 1 หรือนายกรัฐมนตรีฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีพยานหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอหรือโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่ไล่โจทก์ออกจากราชการ
ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้รับฟ้องฐานละเมิด ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เชื่อข้อเท็จจริงจากสำนวนสอบสวนของคณะกรรมการ แล้วนำเข้าประชุม อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยไม่ให้โอกาสแก่ อ.ก.พ. แต่ละคนพิจารณาสอบสวนให้ละเอียดรอบคอบ จำเลยที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์หลงเชื่อ อ.ก.พ. กระทรวงฯ และไม่สอบสวนหรือเรียกพยานหลักฐานจากโจทก์มาประกอบการพิจารณา และจำเลยที่ 3 ในฐานะประธาน อ.ก.พ. กระทรวงฯ ในขณะนั้นใช้อำนาจมิชอบฉวยโอกาสจากความเกรงกลัวของผู้ใต้บังคับบัญชารวบรัดให้ที่ประชุม อ.ก.พ. มีมติให้ไล่โจทก์ออกจากราชการมีเจตนาไม่สุจริต ไม่ให้ความเป็นธรรมเพียงพอ โดยพิจารณาอุทธรณ์ในทางที่จะยืนยันคำสั่งซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในขณะออกคำสั่ง ทำให้จำเลยที่ 2 เป็นชอบกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายหรือมิชอบด้วยกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิหรือจำเลยทั้งสามทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ดังที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอปล่อยตัวจากการควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายระงับเมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้ว
การอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 และขอให้ปล่อยตัวนั้นต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นกำลังถูกควบคุมหรือขังอยู่ ถ้าได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว สิทธิของบุคคลนั้นตามกฎหมายดังกล่าวย่อมระงับไป (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1853/2506)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง การสวมสิทธิจำเลยต้องระบุข้อกฎหมายรองรับ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาลอย ๆ ว่า โจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ตามกฎหมายเท่านั้น มิได้ยกข้อกฎหมายขึ้นกล่าวอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ตามกฎหมายข้อใดประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 238