คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3524/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาโดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา: รายชื่อผู้พิพากษา
(อุไร คังคะเกตุ - ไมตรี กลั่นนุรักษ์ - สมาน เวทวินิจ)ศาลอาญา นายวุฒิ คราวุฒิศาลอุทธรณ์ นายนิวัตน์ แก้วเกิดเคน
นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ - ย่อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่รับอุทธรณ์และการวางเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ขัดขั้นตอน
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "สำเนาให้โจทก์โดยให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วัน ส่งศาลอุทธรณ์"เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไม่วางเงินหรือหาประกันมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนที่จะไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยจึงเป็นการมิชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3431/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการยิงปืนในกลุ่มบุคคล: ศาลฎีกาวินิจฉัยการกระทำที่เล็งเห็นผลร้าย
การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกใครหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งกระสุนปืนดังกล่าวถูกแขนขวาของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3312/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ขัดต่อข้อจำกัดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยอายุ12 ปี ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 74 แต่เห็นสมควรให้คุมประพฤติตามมาตรา 56 คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าถูกจำเลยลักทั้งพยานหลักฐานโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามอุทธรณ์ของจำเลย แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการมิชอบ และต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3298/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานทำไม้หวงห้าม: ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรม
ความผิดฐานทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่มีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และโดยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมายแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองจำนวนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นความผิดแต่ละกรรมเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามป.อ. มาตรา 91.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3147/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษคดีอาวุธปืนเมื่อข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง และอำนาจศาลฎีกาในการแก้ไขโทษแม้ไม่มีการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯโดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาในความผิดฐานอื่นถ้ามีกรณีที่ศาลฎีกาเห็นว่าการปรับบทลงโทษไม่ถูกต้องหรือการกำหนดโทษไม่เหมาะสมแล้วศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเพียงว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้หรือไม่และโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคหนึ่งอันเป็นบทลงโทษสำหรับกรณีที่เป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนที่ผู้อื่นได้รับอนุญาต อันเป็นผลร้ายแก่จำเลยจึงเป็นการไม่ชอบต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 72 วรรคสาม ซึ่งเป็นเพียงการมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย และมีบทกำหนดโทษเบากว่า และเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธปืนที่พาไปเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นผลร้ายน้อยกว่า การใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง ก็ควรจะเปลี่ยนไปในทางที่ลดลง ซึ่งศาลฎีกาแก้ไขได้แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์และฎีกานอกประเด็นข้อต่อสู้เดิม ทำให้ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยได้ และประเด็นค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว
จำเลยให้การว่า โจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากบริษัท ท. จำกัดและยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ รถแทรกเตอร์จึงมิใช่ของโจทก์ขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลย โจทก์มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดก่อนที่จะทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ไม่สามารถจะจัดการให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ได้สัญญาจึงเป็นโมฆะ อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นข้อต่อสู้การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่เป็นเหตุที่จะให้สิทธิจำเลยโต้แย้งต่อมาได้ ดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ขาดส่งค่าเช่าซื้อหลายงวดมาก่อนทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงไม่สามารถจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ให้แก่จำเลย การที่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากับโจทก์ สัญญานั้นจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการฎีกานอกประเด็น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2900/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกที่ศาลล่างคำนวณผิดพลาด แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้เพื่อความเป็นธรรม
ศาลล่างทั้งสองลดโทษให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 53 หนึ่งในสาม จากจำคุกตลอดชีวิตเหลือจำคุก 34 ปี 8 เดือนคลาดเคลื่อนไป ที่ถูกต้องเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน การลดโทษคลาดเคลื่อนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษมากขึ้น เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็พิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามมาตรา 54 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน
โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยสั่งให้โจทก์พักจัดรายการเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์โดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ทำงานอยู่ต่อไปถือเป็นการเลิกจ้าง และอุทธรณ์ว่าโจทก์ทำงานมาครบ 1 ปีมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามสัญญา อุทธรณ์ทั้ง 2 กรณี ดังกล่าวต่างเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และยืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเรื่องดอกเบี้ย
อุทธรณ์ที่ว่าเลิกจ้างโจทก์ทั้งหกเนื่องจากจำเลยประสบปัญหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตราคาสูงและขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงจำเป็นต้องยุบแผนกที่โจทก์ทั้งหกทำงานอยู่ โดยยินยอมจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทุกคน จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโดยกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหก การเลิกจ้างของจำเลยจึงมีเหตุอันควร ไม่ใช่เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ที่ว่าการที่ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่าจำเลยไม่ได้ยุบแผนกแปรรูปโลหะ 2 อย่างจริงจังและการที่ศาลแรงงานกลางแปลความหมายคำให้การพยานจำเลยผิดไปจากข้อเท็จจริง เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลแรงงานกลางในการชั่งน้ำหนักคำพยาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ค่าชดเชยนั้น ต้องจ่ายทันทีเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อไม่จ่ายต้องถือว่าผิดนัด ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นแม้กฎหมายไม่ได้กำหนดให้จ่ายตั้งแต่วันเลิกจ้าง แต่สินจ้างส่วนดังกล่าวก็เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการทวงถามจำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ขณะเลิกจ้างโจทก์ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ปิดประกาศให้โจทก์ทุกคนไปรับก็ตาม จำเลยก็ไม่พ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระดอกเบี้ยของค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์.
of 344