พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,539 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องต่อศาลในคดีล้มละลายสงวนไว้สำหรับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น แม้เจ้าหนี้จะได้รับความเสียหาย
ก่อนจำเลยถูกฟ้องล้มละลาย จำเลยได้ตกลงกับบรรดาผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยซึ่งชำระเงินให้แก่จำเลยไว้แล้ว และจัดการรังวัดแบ่งแยกที่ดินลงชื่อผู้ซื้อในโฉนดเสร็จแล้ว ยังคงแต่ผู้ซื้อที่มีชื่อนั้นจะไปรับโฉนดเท่านั้นจำเลยก็ถูกฟ้องล้มละลายและมีการอายัดโฉนดเหล่านี้ไว้มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ข้างมากให้ถอนการอายัด ไม่ขัดต่อกฎหมายและคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้ดำเนินการตามมตินั้นเป็นการถูกต้อง
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 36 ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นที่จะร้องต่อศาล เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 36 ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นที่จะร้องต่อศาล เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1227/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา vs. การโต้แย้งหนี้สมยอม
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอเฉลี่ย ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยไว้เพื่อขายชำระหนี้ ตามคำพิพากษา โดยผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งและว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกแล้ว เช่นนี้ แม้โจทก์จะยอมรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ จำเลยตามคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องอ้างจริง ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังคัดค้านอยู่ว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องอ้างมาขอเฉลี่ยทรัพย์นั้น เป็นหนี้ ที่เกิดการสมยอมกันระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้ ศาลไม่ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนและอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้เลย เพราะคำพิพากษาในคดีระหว่างผู้ร้องกับจำเลยนั้นไม่มีผลพูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งมิได้เป็นคู่ความด้วยในคดีนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องอ้างมาขอเฉลี่ยนั้น เป็นหนี้ที่ไม่ชอบไม่ควรอย่างใดก็ย่อมได้ ศาลจะต้องดำเนินการไต่สวนคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องกับคำคัดค้านของโจทก์ แล้ววินิจฉัยสั่งไปตามประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1227/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา: ศาลต้องพิจารณาหนี้สมยอมเพื่อคุ้มครองสิทธิโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยไว้เพื่อขายชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งและว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกแล้วเช่นนี้ แม้โจทก์จะยอมรับว่าผู้ร้องไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกและยอมรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องอ้างจริงก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังคัดค้านอยู่ว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องอ้างมาขอเฉลี่ยทรัพย์นั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากการสมยอมกันระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้ศาลไม่ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนและอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้เลย เพราะคำพิพากษาในคดีระหว่างผู้ร้องกับจำเลยนั้นไม่มีผลผูกพันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งมิได้เป็นคู่ความด้วยในคดีนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องอ้างมาขอเฉลี่ยนั้น เป็นหนี้ที่ไม่ชอบไม่ควรอย่างใดก็ย่อมได้เพื่อศาลจะได้ไม่ยอมให้ผู้ร้องเฉลี่ย ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาไต่สวนคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องกับคำคัดค้านของโจทก์ แล้ววินิจฉัยสั่งไปตามประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ต่างกรรมต่างวาระ เจ้าหนี้สละสิทธิไม่มีผลต่อค่าธรรมเนียม
ในระหว่างที่ โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้อื่นร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์ยึด โจทก์ไม่คัดค้านขอสละสิทธิการบังคับคดี ขอถอนการยึด โดยอ้างว่า จำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ผู้ร้องขอสวมสิทธิยึดทรัพย์รายนั้นต่อไป เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ผู้ร้อง ดังนี้ โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยึด(แล้วไม่มีการขาย) เพราะเป็นเรื่องต่างคนต่างยึดคนละคราว คนละตอนติดต่อกัน ไม่ใช่การยึดร่วมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151-1152/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิคัดค้านการโอนได้ในชั้นบังคับคดีโดยไม่ต้องฟ้องเพิกถอน
ในชั้นร้องขัดทรัพย์ การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่นโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ นั้น เป็นการพิจารณาชั้นบังคับคดี เจตนารมย์ของการบังคับคดี ยอมให้ว่ากล่าวกัน ได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว ศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในมาตรา 237 ได้ โดยมิพักต้องให้เจ้าหนี้ไป ฟ้องดำเนินคดี ฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อน แต่ประการใด (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151-1152/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหนี้ในชั้นบังคับคดี ศาลมีอำนาจพิจารณาได้โดยไม่ต้องมีการฟ้องร้องเพิกถอนก่อน
ในชั้นร้องขัดทรัพย์ การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่นโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบนั้น เป็นการพิจารณาชั้นบังคับคดี เจตนารมย์ของการบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวกันได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว ศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในมาตรา 237 ได้ โดยมิพักต้องให้เจ้าหนี้ไปฟ้องดำเนินคดีฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในคดีบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและคู่ความในคดีเท่านั้น
ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย โดยผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้นำยึดไว้ เพื่อบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้และผู้ร้องจะไปร้องในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ขอยึดหรืออายัตทรัพย์ดังกล่าวนี้ก่อน คำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 ก็ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ได้ เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 1 หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น.
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ได้ เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 1 หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในคดีบังคับคดี: ผู้มิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยโดยผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้นำยึดไว้เพื่อบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้และผู้ร้องจะไปร้องในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ขอยึดหรืออายัดทรัพย์ดังกล่าวนี้ก่อนคำพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 ก็ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ได้เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ1หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ได้เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ1หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282-1288/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขต มาตรา 94(2) พ.ร.บ.ล้มละลาย: การยอมให้ลูกหนี้ก่อหนี้เมื่อทราบภาวะล้มละลาย และการโอนหนี้
ความหมายของ มาตรา 94(2) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 นั้น ไม่จำเป็นจะต้องปรากฏว่ามีการสมยอมกันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ในการกระทำหนี้ขึ้น เพียงแต่ว่าในเวลาที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำหนี้ขึ้น เจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก็ขอรับชำระหนี้นั้นไม่ได้
ถ้าหนี้เดิมยังเป็นของผู้โอน ผู้โอนก็ย่อมขอรับชำระหนี้ได้ เมื่อมีการโอนหนี้ดังกล่าวนี้แล้ว ผู้รับโอนย่อมขอรับชำระหนี้นั้นได้ เพราะเป็นเพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ขอรับชำระหนี้ กรณีเช่นนี้ ไม่เข้าตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 94(2) เพราะเป็นหนี้เดิมที่โอนมา ไม่ใช่เป็นหนี้อันเจ้าหนี้ได้ยอมให้ลูกหนี้(ผู้ล้มละลาย) กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่19/2502)
ถ้าหนี้เดิมยังเป็นของผู้โอน ผู้โอนก็ย่อมขอรับชำระหนี้ได้ เมื่อมีการโอนหนี้ดังกล่าวนี้แล้ว ผู้รับโอนย่อมขอรับชำระหนี้นั้นได้ เพราะเป็นเพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้ขอรับชำระหนี้ กรณีเช่นนี้ ไม่เข้าตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 94(2) เพราะเป็นหนี้เดิมที่โอนมา ไม่ใช่เป็นหนี้อันเจ้าหนี้ได้ยอมให้ลูกหนี้(ผู้ล้มละลาย) กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่19/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: อำนาจฟ้องร่วม และผลผูกพันต่อเจ้าหนี้แต่ละราย
โจทก์หลายคนฟ้องจำเลยโดยอาศัยหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้โจทก์ในฉบับเดียวรวมกัน มิได้แยกการชำระหนี้ไว้ต่างหากจากกัน ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ว่าจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ทุกคนรวม 6,664 บาท แม้มูลหนี้ เดิมของโจทก์แต่ละคนจะเป็นหนี้คนละราย คนละจำนวน ไม่ใช่เจ้าหนี้ร่วมก็ดี แต่โดยที่ผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถือได้ว่า จำเลยได้ยอมรับว่า ได้เป็นหนี้โจทก์แต่ละคนแล้ว โจทก์ทุกคนจึงมีอำนาจเข้าชื่อร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในสำนวนเดียวกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ รวม 22 คน เป็นกรณีที่เกิดจากการที่โจทก์บางคนได้ร้องทุกข์กล่าวหาในคดีอาญาว่า จำเลยฉ้อโกง แม้โจทก์ที่ไปร้องทุกข์นั้นจะไม่ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนอื่นให้ทำสัญญายอมนั้น ก็ตาม ในการดำเนินคดีแพ่งตามสัญญายอมนั้น โจทก์ไม่จำต้องอาศัยคำร้องทุกข์ในคดีอาญานั้นเลย เมื่อจำเลยทำหนังสือสัญญายอมไว้ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามรายชื่อรวม 22 คน จำเลยก็ต้องรับผิดต่อบุคคลแล้วนั้น ตามสัญญานั้น แม้ว่าเจ้าหนี้บางคนจะมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมดังกล่าว เจ้าหนี้บางคนเช่นว่านั้น ก็มีอำนาจฟ้องความตามสัญญานั้นได้ ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าหนี้ทั้ง 22 คน จะต้องมอบฉันทะให้ผู้หนึ่งผู้ใด ทำสัญญายอมดังกล่าว กับจำเลยด้วยหรือไม่
สัญญาประนีประนอมยอมความมีว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ รวม 22 คน เป็นกรณีที่เกิดจากการที่โจทก์บางคนได้ร้องทุกข์กล่าวหาในคดีอาญาว่า จำเลยฉ้อโกง แม้โจทก์ที่ไปร้องทุกข์นั้นจะไม่ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนอื่นให้ทำสัญญายอมนั้น ก็ตาม ในการดำเนินคดีแพ่งตามสัญญายอมนั้น โจทก์ไม่จำต้องอาศัยคำร้องทุกข์ในคดีอาญานั้นเลย เมื่อจำเลยทำหนังสือสัญญายอมไว้ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามรายชื่อรวม 22 คน จำเลยก็ต้องรับผิดต่อบุคคลแล้วนั้น ตามสัญญานั้น แม้ว่าเจ้าหนี้บางคนจะมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมดังกล่าว เจ้าหนี้บางคนเช่นว่านั้น ก็มีอำนาจฟ้องความตามสัญญานั้นได้ ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าหนี้ทั้ง 22 คน จะต้องมอบฉันทะให้ผู้หนึ่งผู้ใด ทำสัญญายอมดังกล่าว กับจำเลยด้วยหรือไม่