คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีแพ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี เนื่องจากไม่ใช่ผู้มีสิทธิโดยตรงและไม่ได้รับมอบอำนาจ
โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินไว้แทน น. ซึ่งเป็นบิดาของโจทก์ทั้งสาม น. ได้ ตกลงจะขายที่ดินดังกล่าวกับที่ดินแปลงอื่นรวม 73 แปลงให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์ทั้งสามได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการล่วงหน้าและรับเงินมัดจำจำนวน 8,000,000 บาท ไปจากจำเลยที่ 1 แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ทั้งสามจึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่โจทก์ทั้งสาม และให้โจทก์ทั้งสามริบเงินมัดจำจากจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องโจทก์ทั้งสามเป็นตัวแทนของ น. ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน และดำเนินการต่างๆ ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ น. ทำไว้กับจำเลยที่ 1 สิทธิในที่ดินและตามสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่เป็นของโจทก์ทั้งสาม หากมีการโต้แย้งสิทธิก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของ น. มิใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิใช่บุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายแพ่งที่จะนำคดีมาสู่ศาลได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3663/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การรับฟังข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญาที่ถึงที่สุด
คดีแพ่งเรื่องใดจะเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ต้องพิจารณาว่าความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญาหรือไม่ ถ้าต้องอาศัยก็เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มิใช่พิจารณาว่าโจทก์ต้องฟ้องคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีอาญาเสร็จเด็ดขาด การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องทางแพ่งอันสืบเนื่องมาจากการกระทำความผิดอาญาฐานบุกรุกของจำเลย จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
การนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ กล่าวคือ คำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุด ข้อเท็จจริงนั้นเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและได้วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ที่ถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันต้องเป็นคู่ความเดียวกับในคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3351/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง: เพิกถอนนิติกรรมต้องอาศัยเหตุผลที่ศาลอาญาวินิจฉัย
คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดิน เพื่อเรียกที่ดินคืนจากจำเลย โดยอ้างเหตุว่า จำเลยฉ้อโกงโจทก์ทั้งห้าว่าจะยืมที่ดินของโจทก์ทั้งห้าไปจำนองต่อสถาบันการเงิน แต่จำเลยกลับกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจผิดไปจากความประสงค์ที่แท้จริง โดยปลอมว่า โจทก์ทั้งห้ายกที่ดินให้แก่จำเลย และโจทก์ทั้งห้ายังได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและฉ้อโกง คดีอาญาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งห้านำสืบมายังไม่พอฟังว่าคดีมีมูล พิพากษายกฟ้อง แม้จะเป็นการวินิจฉัยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่คดีถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งได้วินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวข้องโดยตรงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้าไม่มีมูลให้ฟังว่า จำเลยกระทำความผิด ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล: สิทธิเรียกร้องแพ่งแยกจากคดีอาญา, พยานหลักฐานรับฟังได้
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยรู้หรือสมคบกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด และคดีส่วนอาญาของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15045/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีแพ่ง: แม้พยานหลักฐานขัดแย้งกับฟ้อง แต่จำเลยไม่ปฏิเสธ ศาลพิพากษาตามพยานโจทก์ได้
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทิศทางการขับรถของจำเลยที่ 1 กับ ป. ที่ปรากฏในทางนำสืบ แม้จะเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่บรรยายฟ้อง แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การหรือนำสืบปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความในการวินิจฉัยคดีเท่านั้น ในคดีแพ่งเป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี โดยโจทก์หาจำต้องนำสืบให้สมฟ้องดั่งคดีอาญาไม่ และมิต้องด้วยข้อห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10629/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ในคดีแพ่ง: พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่นำสืบ ย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า สัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม เนื่องจากโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้มากรอกข้อความโดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่โจทก์ที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามประเด็นที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีแพ่งมิได้หมายความว่าจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไป หากปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์แต่พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือหรือนำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้องแพ้คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9375/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีแพ่งหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลแก้ไขข้อผิดพลาดในการรับฟ้องและคืนค่าธรรมเนียม
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด โจทก์ย่อมไม่สามารถดำเนินคดีแก่จำเลยได้อีก การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่รับคำฟ้อง แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วยังไม่ปรากฏต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงรับคำฟ้องไว้โดยผิดหลง ต่อมาเมื่อโจทก์แถลงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วมาในคำบอกกล่าวขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ มีผลเท่ากับเป็นการแก้ไขข้อผิดหลงที่เคยสั่งรับคำฟ้องแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณาใดๆ อีกแต่ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งหมด เพื่อไม่ให้โจทก์ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน คือ ค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้ และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8691/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกัน ถือเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาเบิกความเท็จ
ความเท็จที่จะถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี คดีแพ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ร่วมหรือไม่ การที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน และลายมือชื่อผู้ค้ำประกันตามสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทอันเป็นข้อแพ้ชนะคดีกรณีจึงเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคำเบิกความนั้นเป็นเท็จ ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8615/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ใช้บังคับอายุความอาญาเมื่อมูลเหตุเกิดจากความผิดอาญา
คดีนี้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาล โดยประสงค์จะให้โจทก์ทั้งสองรับโทษทางอาญา ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายเพราถูกฟ้องคดีอาญา จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตาม ป.อ. จึงต้องใช้อายุความทางอาญาซึ่งยาวกว่ามาบังคับ ซึ่งตามบทมาตราที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำผิดอาญานั้น มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี คดีนี้จึงมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อคดียังมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใด ซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
อนึ่ง อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6602/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟอกเงิน: ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แม้ได้มาก่อนมีกฎหมาย และไม่ใช่คดีแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46
คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายของ ป.วิ.อ. มาตรา 46
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินซึ่งมีทั้งโทษทางอาญาและมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในกรณีที่ศาลเชื่อว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน โดยมิต้องคำนึงถึงว่าทรัพย์สินนั้นผู้เป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนทรัพย์สินจะได้มาก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับหรือไม่ เพราะมาตรการดังกล่าวมิใช่โทษทางอาญา จึงมีผลใช้บังคับย้อนหลังได้ตามนัยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 40-41/2546
แม้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ มาตรา 59 วรรคสอง จะบัญญัติให้พนักงานอัยการได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงก็ตาม แต่คดีนี้ถือว่าเป็นคดีแพ่ง จึงเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดขอ
of 122