คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าและผลิตอาหารปลอมเป็นคนละกระทง แม้จำเลยรับสารภาพ ศาลฎีกายืนตามอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษฐานปลอมเครื่องหมายการค้า ใช้เครื่องหมายการค้าปลอมและผลิตอาหารปลอม รวมจำเลยที่ 2 จำคุก3 ปี จำเลยที่ 3 ปรับ 11,000 บาท ศาลอุทธรณ์แก้เป็น ฐานปลอมและใช้เครื่องหมายการค้าปลอมเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษฐานปลอมเครื่องหมายการค้า ตาม ป.อ. มาตรา 273 ซึ่งเป็นบทหนักโดยลดโทษแล้ว จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 3 ปรับ 500 บาท เป็นกรณีแก้ไขเล็กน้อย และยังคงจำคุกไม่เกินห้าปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ข้อเท็จจริงนั้นก็ต้องยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าและผลิตอาหารปลอมลักษณะของการกระทำผิดแยกจากกัน เมื่อมีการปลอมเครื่องหมายการค้าและนำไปใช้ก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่ง เมื่อนำอาหารที่ส่วนประกอบไม่ใช่สูตรของแท้มาปิดเครื่องหมายการค้าปลอมเพื่อให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าเป็นอาหารสูตรของแท้ก็เป็นความผิดฐานผลิตอาหารปลอมอีกกระทงหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ มิใช่การฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์โต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่กำหนดค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นใหม่โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนชนะคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแค่ไหนเพียงไรนั้น เป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดี ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 2รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมดมานั้นเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ มิใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้เอง ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขในส่วนนี้เสียให้ถูกต้อง เพราะการพิพากษาคดีโดยไม่ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ผิดขั้นตอน โดยวินิจฉัยข้อหาที่ยุติแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
การที่จำเลยช่วยจำหน่ายหรือช่วยพาเอาไปเสียซึ่งโคของผู้เสียหายอันเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรณีจะเป็นความผิดก็เข้าลักษณะฐานรับของโจร แม้จำเลยร่วมกับผู้อื่นยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ก็ไม่แสดงว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักโคของผู้เสียหายไป โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ ถือว่ายกฟ้องข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อหาฐานรับของโจรย่อมยุติ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องฐานลักทรัพย์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่มีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจร.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาที่ยุติแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้วจำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยก็คือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้น จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกายกฟ้องฐานรับของโจร แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ เนื่องจากข้อหาดังกล่าวสิ้นสุดแล้วหลังศาลชั้นต้นพิพากษาเฉพาะความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้ว จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยคือ จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร และลงโทษจำเลยฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกา ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งในคดีเช่าซื้อ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอพิจารณาตัดสินได้พร้อมกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อที่ดิน ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินดังกล่าว และใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อแก่จำเลยทั้งสองโดยจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านก็ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งในคดีเช่าซื้อ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาร่วมกันได้และไม่เป็นเงื่อนไข
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไปและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 49,000 บาทแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยทั้งสองได้และจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านออกไปแล้วให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น 300,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายที่ต้องรื้อถอนบ้านออกไปอีก 80,000 บาท รวมเป็นเงิน 380,000 บาทและให้โจทก์เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามและมาตรา 179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่งในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟ้องแย้งในคดีเช่าซื้อ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม พิจารณาชี้ขาดได้พร้อมกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเช่าซื้อที่ดินจากโจทก์ไปปลูกบ้านแล้วผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินที่เช่าซื้อ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้และจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านออกไปแล้วให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น และชดใช้ค่าเสียหายที่ต้องรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกไปรวมเป็นเงิน 380,000 บาท และเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2607/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากไม่ได้รับอนุญาตในชั้นอุทธรณ์
คดีโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 เมื่อในชั้นอุทธรณ์ไม่มีการอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2491/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิในที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 1 ให้การไว้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินจาก จ. โดยไม่สุจริตศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน ถือว่าเป็นการกำหนดครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ด้วย โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดจาก จ. โดยจดทะเบียนถูกต้อง ก่อนซื้อจ. บอกว่าได้ให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท และโจทก์ก็เห็นจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทมากว่า 10 ปี แต่โจทก์ไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 1 ว่าอาศัย จ. อยู่ในที่พิพาทจริงหรือไม่ถือว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาจาก จ. โดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1ย่อมยกการครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้.
of 344