คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิด และข้อจำกัดความรับผิดของบริษัทประกันภัย การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ชนเสียหายและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในขณะที่ถูกชน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้ จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ให้การว่าหากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็รับผิดชอบไม่เกินจำนวน 100,000 บาท ของความเสียหายบุคคลภายนอกทั้งหมดที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ มิได้ให้การถึงว่าจำเลยที่ 2ได้จ่ายค่าทำรั้วที่เสียหายไปแล้ว 15,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้โจทก์และจำเลยที่ 2จะแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลว่า จำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่ารั้วไปแล้วก็เป็นเรื่องนอกประเด็น จำเลยที่ 2 จะฎีกาว่าความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกยังคงเหลือเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 85,000 บาท ไม่ได้ เป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, ค่าปลงศพ, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, และการคุ้มครองแรงงาน
โจทก์เป็นสามีของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่ามีพินัยกรรมเป็นอย่างอื่นโจทก์จึงเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยสิทธิทายาทโดยธรรมของผู้ตายเป็นจำนวนมากที่สุด เป็นผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ต้องจัดการทำศพผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าปลงศพภริยาโจทก์ได้ แม้บิดาโจทก์จะได้ออกเงินให้โจทก์ใช้จ่ายในการทำศพ จำเลยก็จะมายกเป็นข้อปัดป้องความรับผิดของจำเลยหาไม่ได้
ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานและอธิบดีกรมแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนให้แก่มารดาสามี และบุตร เป็นการจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด โจทก์ซึ่งเป็นสามีของลูกจ้างผู้ตาย ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเรื่องละเมิดได้
ในตอนต้นของคำฟ้องโจทก์มีชื่อโจทก์เพียงผู้เดียว แต่โจทก์เป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง จ. และปรากฏในคำฟ้องว่าโจทก์กับนาง ส. ผู้ตายมีบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิง จ. ทั้งโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้เป็นจำนวนเงินชัดเจน ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ด้วยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, ค่าปลงศพ, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, และการคุ้มครองแรงงาน
โจทก์เป็นสามีของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่ามีพินัยกรรมเป็นอย่างอื่นโจทก์จึงเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยสิทธิทายาทโดยธรรมของผู้ตายเป็นจำนวนมากที่สุด เป็นผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ต้องจัดการทำศพผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าปลงศพภริยาโจทก์ได้ แม้บิดาโจทก์จะได้ออกเงินให้โจทก์ใช้จ่ายในการทำศพ จำเลยก็จะมายกเป็นข้อปัดป้องความรับผิดของจำเลยหาไม่ได้ ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานและอธิบดีกรมแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนให้แก่มารดาสามี และบุตร เป็นการจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด โจทก์ซึ่งเป็นสามีของลูกจ้างผู้ตาย ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเรื่องละเมิดได้ ในตอนต้นของคำฟ้องโจทก์มีชื่อโจทก์เพียงผู้เดียว แต่โจทก์เป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง จ. และปรากฏในคำฟ้องว่าโจทก์กับนาง ส. ผู้ตายมีบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิง จ. ทั้งโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้เป็นจำนวนเงินชัดเจน ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ด้วยแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแรงงานแก้ไขคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และการใช้ค่าเสียหายแทนการรับกลับเข้าทำงาน
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) ให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดคำร้องตามมาตรา 125และในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ก็ให้มีอำนาจให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหายได้ คำสั่งชี้ขาดดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติว่าให้ถึงที่สุด คู่ความที่ไม่พอใจคำสั่งนั้น จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลแรงงานให้วินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบหรือไม่อีกได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 8(4) หากศาลแรงงานเห็นว่า คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ศาลแรงงานย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องและเหมาะสมได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การประเมินค่าเสียหายทางกายและทรัพย์สิน
โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสะบ้า หัวเข่าขวาแตก ได้รับอันตรายสาหัสนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง15 วัน และเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วยังต้องไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีกหลายเดือนจึงค่อย เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นแต่ก็ยังไม่ปกติ สมควรกำหนดค่าป่วยเจ็บที่ต้องทนทุกข์ทรมาน 10,000 บาท.
หลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้เข่าขวาได้ดีเหมือนเดิม นั่งพับเพียบไม่ได้ นั่งยอง ๆ ไม่ได้ ขาไม่มีกำลัง ไม่สามารถวิ่งและออกกำลังกาย ได้ เห็นได้ว่าโจทก์ที่ 1 ได้เสื่อมเสียบุคลิกภาพไป สมควรกำหนดค่าเสียหายให้10,000 บาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชดใช้ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าป่วยเจ็บ ค่าเสื่อมเสียบุคลิกภาพ และทรัพย์สินสูญหาย
โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสะบ้าหัวเข่าขวาแตก ได้รับอันตรายสาหัสนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 15 วัน และเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วยังต้องไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีกหลายเดือนจึงเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นแต่ก็ยังไม่ปกติ ศาลกำหนดค่าป่วยเจ็บที่ต้องทนทุกข์ทรมานให้ 10,000 บาท หลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ไม่สามารถใช้เข่าขวาได้ดีเหมือนเดิมนั่งพับเพียบไม่ได้ นั่งยอง ๆ ไม่ได้ ขาไม่มีกำลัง ไม่สามารถวิ่งและออกกำลังกายได้ เห็นได้ว่าโจทก์ที่ 1 ได้เสื่อมเสียบุคคลิกภาพไปศาลกำหนดค่าเสียหายให้ 10,000 บาท นาฬิกาข้อมือของโจทก์ที่ 4 ขาดหายไปเนื่องจากเหตุรถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 4 จำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาตามสภาพของนาฬิกานั้นให้โจทก์ที่ 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขาย, การบอกเลิกสัญญา, ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา, และขอบเขตความรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยทำสัญญาซื้อสินค้าจากโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลในต่างประเทศ ตามหนังสือสัญญาข้อ 11 มีข้อตกลงว่า เมื่อมีข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้นให้อนุญาโตตุลาการที่คู่สัญญาได้ร่วมกันแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัยข้อพิพาทและข้อสัญญาข้อ 12 ความว่า โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลยุติธรรมของประเทศอังกฤษมีอำนาจพิจารณา พิพากษา ดังนี้เมื่อเกิดข้อพิพาทและโจทก์จำเลยไม่เลือกใช้อนุญาโตตุลาการ และสัญญาข้อ 12 ไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่า ให้ศาลยุติธรรมของประเทศอังกฤษแต่เพียงศาลเดียวพิจารณา พิพากษาคดีนี้ได้ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลได้.
โจทก์เป็นพ่อค้าขายรถปั้นจั่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีจำเลยผิดสัญญาซื้อขายไม่ได้ฟ้องเรียกค่าที่ได้ส่งมอบรถ คดีโจทก์มีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 ไม่ใช่ 2ปี ตาม มาตรา 165(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทายาทผู้รับมรดก กรณีผู้ตายขับรถประมาท ชนเสียหาย ศาลรับฟ้องได้
แม้ชื่อ จำเลยในช่อง คู่ความและคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะไม่ได้ระบุว่า โจทก์ฟ้องจำเลย ทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ อะไรก็ตามแต่ คำฟ้องของโจทก์ได้ บรรยายว่าจำเลยทั้งแปดเป็นทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของ ก. ผู้ตาย โดย จำเลยที่ 1 เป็นคู่สมรสของ ก. จำเลยที่ 2, 3, 4 เป็นบุตรผู้สืบสันดานของ ก.ผู้ตายเกิดจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5, 6 เป็นผู้สืบสันดานของ ก. ผู้ตาย เกิดจาก ร. จำเลยที่ 7 เป็นบิดาผู้ตาย จำเลยที่ 8เป็นมารดาผู้ตาย และได้ บรรยายด้วย ว่า ก. ขับรถยนต์ โดยประมาทชนกับรถยนต์ คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย และ ก. ตาย ในที่เกิดเหตุ ย่อมพอเข้าใจได้ ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ ผู้รับมรดกของ ก. ผู้ตาย หาใช่ฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทายาทผู้รับมรดก กรณีผู้ตายประมาทเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่รับประกันภัย
แม้ชื่อ จำเลยในช่อง คู่ความและคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะไม่ได้ระบุว่า โจทก์ฟ้องจำเลย ทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ อะไรก็ตามแต่ คำฟ้องของโจทก์ได้ บรรยายว่าจำเลยทั้งแปดเป็นทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของ ก. ผู้ตาย โดย จำเลยที่ 1 เป็นคู่สมรสของ ก. จำเลยที่ 2,3,4 เป็นบุตรผู้สืบสันดานของ ก.ผู้ตายเกิดจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5,6 เป็นผู้สืบสันดานของ ก. ผู้ตาย เกิดจาก ร. จำเลยที่ 7 เป็นบิดาผู้ตาย จำเลยที่ 8เป็นมารดาผู้ตาย และได้ บรรยายด้วย ว่า ก. ขับรถยนต์ โดยประมาทชนกับรถยนต์ คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย และ ก. ตาย ในที่เกิดเหตุ ย่อมพอเข้าใจได้ ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดให้รับผิดในฐานะ ผู้รับมรดกของ ก. ผู้ตาย หาใช่ฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดสิทธิรับราชการ: แม้ฟ้องเพิกถอนคำสั่ง แต่การเรียกร้องบำนาญถือเป็นค่าเสียหายต้องใช้ ป.พ.พ. มาตรา 448
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดกระทำการโดยไม่ชอบไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการและกระทำการขัดต่อพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน จนกระทั่งจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ ทำให้โจทก์หมดสิทธิในการรับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในการรับราชการของโจทก์แม้โจทก์คำนวณจำนวนเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับตาม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญ ก็มีสภาพเป็นค่าเสียหายในมูลละเมิดนั่นเอง ต้องใช้อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.
of 283