คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3320/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา: ผู้เสียหายต้องมีสิทธิโดยกฎหมายเท่านั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา30, 31 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และกรณีที่พนักงานอัยการร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ ผู้เสียหายสำหรับคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายด้วยกัน มิได้มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ สิทธิการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา นอกจากสองกรณีดังกล่าวนี้แล้วย่อมไม่อาจมีได้ดังนั้น ในคดีอาญาที่ผู้เสียหายคนหนึ่ง ได้ยื่นฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไม่อาจยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้
แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ไม่มีสิทธิร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับโจทก์ในคดีนี้คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์ที่ 2 ที่ 3 จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีต่อมาได้
ปัญหาเกี่ยวกับการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3320/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา: ผู้เสียหายต้องมีสิทธิโดยกฎหมายเท่านั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา30,31ได้บัญญัติเกี่ยวกับ การร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการและกรณีที่พนักงานอัยการร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ ผู้เสียหายสำหรับคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้นส่วนกรณีที่ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายด้วยกันมิได้มีกฎหมายบัญญัติ ให้อำนาจไว้สิทธิการ ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญานอกจากสองกรณี ดังกล่าวนี้แล้วย่อมไม่อาจมีได้ดังนั้นในคดีอาญาที่ผู้เสียหายคนหนึ่ง ได้ยื่นฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งไม่อาจยื่นคำร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้
แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ไม่มีสิทธิร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับโจทก์ในคดีนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบโจทก์ที่ 2ที่3 จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง และจำหน่ายคดี ต่อมาได้
ปัญหาเกี่ยวกับการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เป็นปัญหาที่เกี่ยว ด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขโทษจำคุกรวมในคดีอาญาหลายกระทงตามกฎหมายใหม่ (ป.อาญา ม.91) โดยใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานสองกระทง ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละตลอดชีวิต และผิดฐานมีอาวุธปืนกับฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านอีกสองกระทง จำคุกกระทงละ12 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วจำคุกทั้งสิ้น 76 ปี 8 เดือน ดังนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงให้จำคุกจำเลย 50 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิจารณาคดีแพ่งควบคู่คดีอาญา: ศาลแพ่งต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่ศาลอาญาไม่ได้วินิจฉัย
คดีส่วนอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับคดีส่วนแพ่งนี้ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยว่า การที่รถจำเลยชนรถโจทก์ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเกิดจากการที่จำเลยขับรถ ฝ่าไฟแดงตามฟ้อง เหตุอาจเกิดจากความประมาทของจำเลยประการอื่น เช่นขับด้วย ความเร็วสูง แต่เมื่อมิได้ปรากฏลักษณะความประมาทดังกล่าวในฟ้องโจทก์ศาลทหารกรุงเทพจึงไม่มีหน้าที่วินิจฉัย พิพากษายกฟ้องสำหรับ คดีส่วนแพ่งที่โจทก์ฟ้องนี้ข้อที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยขับรถประมาท มี 2 ข้อคือจำเลย ขับรถฝ่าไฟแดงและจำเลยขับรถเร็วกว่าอัตรากฎหมาย กำหนด ดังนั้นข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งที่ศาลจำต้องถือตามที่ ปรากฏ ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงมีเพียงว่าจำเลยมิได้ ขับรถประมาท ฝ่าไฟแดงส่วนประเด็นข้อที่ว่าจำเลยขับรถประมาทด้วยความเร็วสูง เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดศาลทหารกรุงเทพมิได้วินิจฉัยไว้และ ประเด็นว่าจำเลยขับรถประมาทด้วยความเร็วสูงกับขับรถฝ่าไฟแดงนั้น ไม่เกี่ยวเป็นส่วนประกอบกันจึงชอบที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งเฉพาะประเด็นที่ศาลทหารกรุงเทพยังมิได้วินิจฉัยคดี ส่วนอาญาให้สิ้นกระแสความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิจารณาคดีแพ่งอ้างอิงคำพิพากษาคดีอาญา: ประเด็นความประมาทจากความเร็วสูงยังต้องพิจารณา
คดีส่วนอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับคดีส่วนแพ่งนี้ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยว่า การที่รถจำเลยชนรถโจทก์ข้อเท็จจริงฟังไม่ ได้ว่าเกิดจากการที่จำเลยขับรถ ฝ่าไฟแดงตามฟ้องเหตุ อาจเกิดจากความประมาทของจำเลยประการอื่น เช่นขับด้วยความเร็วสูงแต่เมื่อมิได้ปรากฏลักษณะความประมาทดังกล่าวในฟ้องโจทก์ศาลทหารกรุงเทพจึงไม่มีหน้าที่วินิจฉัยพิพากษายกฟ้องสำหรับ คดีส่วนแพ่งที่โจทก์ฟ้องนี้ข้อที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยขับรถประมาท มี2ข้อคือจำเลย ขับรถฝ่าไฟแดงและจำเลยขับรถเร็วกว่าอัตรากฎหมาย กำหนดดังนั้นข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งที่ศาลจำต้องถือตามที่ ปรากฏ ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงมีเพียงว่าจำเลยมิได้ ขับรถประมาท ฝ่าไฟแดงส่วนประเด็นข้อที่ว่าจำเลยขับรถประมาทด้วยความเร็วสูง เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดศาลทหารกรุงเทพมิได้วินิจฉัยไว้และ ประเด็นว่าจำเลยขับรถประมาทด้วยความเร็วสูงกับขับรถฝ่าไฟแดงนั้น ไม่เกี่ยวเป็นส่วนประกอบกันจึงชอบที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งเฉพาะประเด็นที่ศาลทหารกรุงเทพยังมิได้วินิจฉัยคดีส่วนอาญา ให้ สิ้นกระแสความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2721/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา
การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีการที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งซึ่งจำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดว่าเจ้าของที่ดินยกที่ดินให้จำเลยพร้อมกับมอบโฉนดให้และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันมาอย่างเป็นเจ้าของประมาณ15 ปีแล้ว ซึ่งเป็นความเท็จย่อมเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีอาญา: การฟ้องและได้ตัวผู้ต้องหามายังศาลเป็นสำคัญ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 นั้น ต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลแล้ว อายุความจึงจะหยุดนับ บทบัญญัติตามมาตรานี้ไม่ได้ใช้บังคับในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์เท่านั้น ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจกท์ก็ต้องถือหลักอย่างเดียวกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2507 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2514 ความผิดของจำเลยที่โจทก์ฟ้องมีอายุความสิบปี โจทก์จะต้องฟ้องและได้ตัวจำเลยผู้กระทำผิดมายังศาลภายในวันที่ 30 มีนาคม 2524 คดีจึงจะไม่ขาดอายุความ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยวันที่ 30 มีนาคม 2524 แต่ศาลชั้นต้นต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์ต่อไป ระหว่างนั้นจะถือว่าได้ตัวจำเลยมายังศาลและจำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วไม่ได้ อายุความยังไม่หยุดนับศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูล หมายเรียกจำเลยแก้คดีและได้ตัวจำเลยมาพิจารณาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2524 เกินสิบปีนับแต่วันที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดคดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1735/2514 ประชุมใหญ่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเลี้ยงสัตว์ยึดจากคดีอาญา: นายอำเภอทำสัญญาเอง จังหวัดไม่มีอำนาจฟ้อง
นายอำเภอเป็นนายทะเบียนสัตว์พาหนะและเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจที่จะยึดสัตว์พาหนะส่งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแก่ผู้ที่ครอบครองสัตว์พาหนะไว้โดยไม่มีตั๋วรูปพรรณหรือมีแต่ไม่ถูกต้องกับตัวสัตว์ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 4 และมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. 2482 และ นายอำเภอเป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนเกี่ยวกับความผิดตาม พระราชบัญญัติสัตว์พาหนะฯการที่นายอำเภอเมืองในฐานะ พนักงานสอบสวนได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 เลี้ยงโคที่ไม่มี ตั๋วรูปพรรณที่ยึดไว้โดยไม่ปรากฏว่านายอำเภอเมืองได้ทำสัญญาแทนหรือในนามของอำเภอหรือจังหวัดนั้น การทำสัญญา ของนายอำเภอเมืองดังกล่าวจึงทำไปตามอำนาจและหน้าที่ ของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะฯ โดยเฉพาะซึ่งไม่มีบทกฎหมายใดให้บุคคลอื่นใช้อำนาจหน้าที่ นี้แทนฉะนั้นจังหวัดซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงาน ตามพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะฯ และมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับตามสัญญาจ้างเลี้ยงรักษาสัตว์ที่ยึดไว้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาเด็กและเยาวชน: การควบคุมตัวและอายุผู้ต้องหา
พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวจำเลยเป็นผู้ต้องหาตั้งแต่วันที่11 กันยายน 2525 ขณะนั้นจำเลยอายุ 17 ปีเศษพนักงานสอบสวนจึงส่งตัวไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2525 สถานพินิจและคุ้มครองเด็กได้ส่งตัว จำเลยคืนพนักงานสอบสวนเพราะจำเลยมีอายุเกิน 18 ปีพนักงานสอบสวนจึงขออนุญาตฝากขัง จำเลยต่อศาลอาญา และก่อน ครบกำหนดฝากขังโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่10 มกราคม 2526 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการควบคุมตัว จำเลยในระหว่างสอบสวนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ย่อมมี อำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 มาตรา 24ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2239/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิฟ้องดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงาน
โจทก์ฟ้องอ้างว่า ช. ผู้สมัครรับเลือกตั้งกระทำผิด พระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26 และ บ. ซึ่งเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดกระทำผิด พระราชบัญญัติเลือกตั้งฯ มาตรา 26 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 165 โจทก์ได้ร้องเรียนไปยังจำเลยทั้งห้า ให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับ ช. และ บ. และจำเลยทั้งห้ามิได้ดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 165, 200 เช่นนี้ เมื่อโจทก์มิใช่บุคคล ที่อาจร้องคัดค้านการเลือกตั้งได้ ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 78 จึงมิใช่ ผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้เสียหายเนื่องจากการกระทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 26 ดังนั้นการที่โจทก์ร้องเรียนต่อจำเลยทั้งห้าให้ดำเนินคดีกับ ช. และ บ. และจำเลยทั้งห้ามิได้ดำเนินคดี กับบุคคลทั้งสองเมื่อ โจทก์มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในกรณีที่ ช. และ บ. กระทำผิดดังกล่าวโจทก์ย่อมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สำหรับความผิดที่โจทก์ ฟ้องจำเลยทั้งห้าด้วยโจทก์จึงไม่ มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
of 312