พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,842 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายจากการกระทำของผู้เช่า แม้ครอบครองแฟลต
จำเลยสร้างแฟลตให้คนเช่า ซึ่งอาจทิ้งของและน้ำลงบนที่ดินของโจทก์ถัดไป แม้จำเลยจะครอบครองและอยู่อาศัยในแฟลต แต่ได้มีผู้เช่าแยกเป็นส่วนสัดซึ่งเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดตาม มาตรา 436 ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้จัดการร้านสหกรณ์ต่อความเสียหายจากการปล่อยปละละเลยในการขายสินค้าและข้อผิดพลาดในการทำบัญชี
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ตามสัญญาจ้างปล่อยปละละเลยให้มีการขายบุหรี่โดยไม่ได้รับชำระราคากรณีดังนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการบกพร่องอย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการประพฤติผิดสัญญาจ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับจำนองจากทรัพย์จำนองอันเป็นประกันค่าเสียหายนั้นได้
ร้านสหกรณ์โจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินค้าไปแล้ว แต่หาได้มีการลงบัญชีรับสินค้าไว้ไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการอาจไม่ได้นำสินค้าเข้าร้านสหกรณ์ก็ได้ สินค้าบางรายการลงบัญชีจ่ายเงินซ้ำสองครั้ง เงินสดคงเหลือตามบัญชีจึงผิดไปจากความเป็นจริงร้านสหกรณ์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการจัดทำบัญชีขัดกับใบสำคัญ ซึ่งทำให้มีการจ่ายเงินไปโดยไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่าย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้อย่างบกพร่องอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยดุจกันจำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของสมุหบัญชีที่ไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของตนนั้น ย่อมเถียงไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องควบคุมสอดส่องการทำบัญชีของร้านสหกรณ์ให้เป็นไปตามข้อบังคับโดยใกล้ชิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ ก็ย่อมกระทำได้
ร้านสหกรณ์โจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินค้าไปแล้ว แต่หาได้มีการลงบัญชีรับสินค้าไว้ไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการอาจไม่ได้นำสินค้าเข้าร้านสหกรณ์ก็ได้ สินค้าบางรายการลงบัญชีจ่ายเงินซ้ำสองครั้ง เงินสดคงเหลือตามบัญชีจึงผิดไปจากความเป็นจริงร้านสหกรณ์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการจัดทำบัญชีขัดกับใบสำคัญ ซึ่งทำให้มีการจ่ายเงินไปโดยไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่าย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้อย่างบกพร่องอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยดุจกันจำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของสมุหบัญชีที่ไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของตนนั้น ย่อมเถียงไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องควบคุมสอดส่องการทำบัญชีของร้านสหกรณ์ให้เป็นไปตามข้อบังคับโดยใกล้ชิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ ก็ย่อมกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องผู้ค้ำประกันความเสียหายจากลูกจ้างละเมิด: 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 448
ค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง ลูกจ้างทำละเมิด อายุความฟ้องผู้ค้ำประกันมีกำหนด 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดต่อความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร: การประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการสายโทรเลขและขอบเขตความรับผิดของเจ้าของทรัพย์
กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 2 ไม่ตรวจตราดูแลในการขึงสายโทรเลขซึ่งอยู่เหนือสายไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงสายโทรเลขจึงขาดลงมาพาดสายไฟฟ้าตรงที่ไม่มียางหุ้ม เพราะสายไฟฟ้านี้ใช้มานานจนยางที่หุ้มผุเปื่อยขาดโดยไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง จนเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลออกได้ ปลายสายโทรเลขที่ขาดนั้นทอดไปตกยังพื้นดินที่ถนน กระแสไฟฟ้าจึงแล่นตามสายโทรเลขนั้นดูดกระบือของโจทก์ที่เดินมาถูกสายโทรเลขถึงแก่ความตายแม้ตามปกติสายโทรเลขจะมีกระแสไฟฟ้าไม่เป็นอันตรายแก่บุคคลและสัตว์ แต่เห็นได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิด ไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แม้จะมีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 2 กับการไฟฟ้าฯ จำเลยที่ 1 ว่าในการขึงสายไฟฟ้าที่ผ่านสายโทรเลขให้ขึงอยู่สูงต่ำกว่ากันแค่ไหนจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2หลุดพ้นความรับผิดต่อโจทก์ แต่เมื่อได้ความว่าตรงจุดที่สายโทรเลขพาดกับสายไฟฟ้าซึ่งกระแสไฟฟ้ารั่วไหลได้นั้นเป็นสายไฟฟ้าที่อยู่ภายในช่วงที่ต่อจากหม้อวัดไฟเข้าไปยังบ้านของ น. ผู้ขอใช้ไฟ จึงถือไม่ได้ว่าสายไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 437 วรรค 2 จำเลยที่ 1 จึงหาต้องรับผิดต่อโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 762/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดต่อความเสียหายจากเครื่องจักรอันตราย: เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์
เมื่อจำเลยรับว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักร แล้วไฟฟ้าเดินลัดวงจรเป็นเหตุให้ไฟไหม้โรงงานของจำเลย แล้วลุกลามไปไหม้บ้านของโจทก์ โจทก์ก็ไม่ต้องนำสืบอีกว่าเหตุที่ไฟไหม้โรงงานของจำเลยเนื่องมาจากจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักรในคืนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โรงงานของจำเลยใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังไฟฟ้า และไฟไหม้เนื่องจากไฟฟ้าเดินลัดวงจรขณะที่ใช้เครื่องจักรพ่นสีโต๊ะจักรอยู่ ดังนี้ ไฟฟ้าซึ่งใช้เดินเครื่องจักรเป็นทรัพย์อันเกิดอันตรายได้โดยสภาพ ซึ่งจำเลยผู้มีไว้ในความครอบครองจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 เมื่อจำเลยไม่ได้นำสืบว่าการที่ไฟฟ้าลัดวงจรเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายแต่อย่างไร จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินดาวน์เช่าซื้อ, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, การชำระด้วยเช็ค, ความเสียหายจากการใช้รถ
เงินดาวน์เป็นเงินค่าเช่าซื้อส่วนหนึ่งที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระในวันทำสัญญา หาใช่เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไม่ ตามสัญญาค้ำประกันระบุไว้ชัดว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดซึ่งรวมทั้งเงินดาวน์ด้วย ตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อห้ามการชำระค่าเช่าซื้อด้วยเช็คโจทก์ผู้ให้เช่าย่อมรับชำระเงินดาวน์ด้วยเช็คได้ เมื่อโจทก์รับเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิด
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อและใบเสร็จรับเงินจะระบุว่า โจทก์ได้รับเงินดาวน์จำนวน 25,080 บาทไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าชำระเงินดาวน์ด้วยเช็ค โจทก์ก็นำสืบได้ว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นไม่ได้ หาเป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่
เมื่อจำเลยที่ 2 เอารถคันพิพาทไปใช้ชำรุดเสียหาย จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ครอบครองรถคันนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรค 3 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 601/2513)
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อและใบเสร็จรับเงินจะระบุว่า โจทก์ได้รับเงินดาวน์จำนวน 25,080 บาทไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าชำระเงินดาวน์ด้วยเช็ค โจทก์ก็นำสืบได้ว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นไม่ได้ หาเป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่
เมื่อจำเลยที่ 2 เอารถคันพิพาทไปใช้ชำรุดเสียหาย จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ครอบครองรถคันนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรค 3 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 601/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องชำระหนี้จากเงินขายทอดตลาด: การชดใช้ความเสียหายจากราคาขายต่ำกว่าที่ตกลง
โจทก์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ และจำเลย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้เงินสุทธิเท่าใดให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้2ใน 3 ส่วน เงินส่วนที่เหลือให้ผู้ร้องขัดทรัพย์รับไปเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าเงินส่วนที่เหลือจาก 2 ใน 3 ส่วนของเงินสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เงินจำนวนนี้จึงไม่ใช่เงินของจำเลย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรก ก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรก ก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีที่ดินสาธารณะ: ความเสียหายเฉพาะบุคคลเป็นสำคัญ
ตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยเข้ายึดถือที่ดินบางส่วนของที่สาธารณะอันทางราชการได้หวงกันเอาไว้เพื่อใช้ดินซ่อมตัวเขื่อนและทำประโยชน์อื่น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสี่คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไปทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่าจำเลยขัดขวางการใช้สิทธิของโจทก์เป็นพิเศษประการใดบ้าง ดังนี้ ไม่พอถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 (อ้างฎีกาที่1410/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้ที่สาธารณะ: โจทก์ต้องแสดงความเสียหายเป็นพิเศษจึงมีอำนาจฟ้อง
ตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยเข้ายึดถือที่ดินบางส่วนของที่สาธารณะอันทางราชการได้หวงกันเอาไว้เพื่อใช้ดินซ่อมตัวเขื่อนและทำประโยชน์อื่น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสี่คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไปทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่าจำเลยขัดขวางการใช้สิทธิของโจทก์ เป็นพิเศษประการใดบ้าง ดังนี้ ไม่พอถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 (อ้างฎีกาที่1410/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหมิ่นประมาทต้องระบุรายละเอียดข้อความใส่ร้ายและความเสียหายที่ชัดเจน
บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทว่าจำเลยร่วมกันเป็นตัวการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด โดยออกแถลงการณ์เป็นใบปลิวว่าผู้อำนวยการองค์การแก้วทุจริต แล้วอ่านใบปลิวนั้นด้วยเครื่องกระจายเสียงใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามว่าโจทก์ร่วมทุจริตกับผู้อำนวยการ แต่ถ้อยคำที่จำเลยพูดมีว่าอย่างไรใบปลิวที่โจทก์เท้าความถึงมีข้อความว่าอย่างไร โจทก์ได้ร่วมทุจริตอย่างไร มิได้บรรยายมาในฟ้องหรือแนบมาท้ายฟ้องคงกล่าวโดยสรุปว่าโจทก์ร่วมทุจริตกับผู้อำนวยการเท่านั้นคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)