พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,539 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับช่วงสิทธิไถ่จำนอง: เจ้าหนี้จำเลยมีสิทธิแม้จำเลยไม่ยินยอม
ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยย่อมมีสิทธิจะเข้ารับช่วงสิทธิไถ่การจำนองจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองจำเลยเข้าเป็นผู้รับจำนองแทนที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนได้ตาม ม.229(1),230 แม้ว่าจำเลยจะตกลงด้วยหรือไม่ก็ตามที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์สินของจำเลยระหว่างเจ้าหนี้หลายราย ศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยได้เนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่ชัดเจน
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์สินของจำเลยผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีสำนวนอื่นของจำเลยขอเฉลี่ยทรัพย์ อ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกแล้วนอกจากที่โจทก์นำยึดเท่านั้น
โจทก์ฎีกาคัดค้าน เมื่อฎีกาของโจทก์คลุมเครือไม่แจ้งชัดว่าหมายถึงเจ้าหนี้รายใด(ผู้ร้องขอเฉลี่ยหลายราย)และข้ออ้างว่ากระไร ดังนี้ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฎีกาคัดค้าน เมื่อฎีกาของโจทก์คลุมเครือไม่แจ้งชัดว่าหมายถึงเจ้าหนี้รายใด(ผู้ร้องขอเฉลี่ยหลายราย)และข้ออ้างว่ากระไร ดังนี้ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยวิธีการอื่นแทนการชำระตามสัญญาเดิม ทำให้หนี้ระงับสิ้นไป แม้สัญญากู้จะยังอยู่กับเจ้าหนี้
จำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อรถยนตร์แล้วโจทก์ยอมรับโอนรถยนตร์จากจำเลยดังนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยตามหนังสือสัญญากู้เงินย่อมระงับสิ้นไปแม้หนังสือสัญญากู้เงินจะอยู่กับโจทก์ โดยยังมิได้คืนโจทก์ก็นำมาฟ้องไม่ขึ้น จำเลยนำสืบด้วยพยานบุคคลได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2497)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผิดพลาดในการเขียนสัญญาขายฝาก เจ้าหนี้ไม่อาจใช้เป็นเหตุปฏิเสธการไถ่ถอนได้
สัญญาขายฝากจดทะเบียนที่อำเภอ ฉบับต้นขั้วมีกำหนดไถ่ 2 ปี แต่เจ้าหน้าที่ผู้เขียนฉบับที่ให้ผู้ซื้อยึดถือไว้ผิดไปเป็น 1 ปีผู้ซื้อจะฉวยโอกาสที่เจ้าหน้าที่เขียนผิดไม่ยอมให้ผู้ขายฝากไถ่คืนใน 2 ปีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้หลังศาลตัดสินเรื่องบุริมสิทธิในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิ
ในกรณีที่เจ้าหนี้ของผู้ล้มละลายกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เข้าว่าคดีเป็นการพิพาทในประเด็นว่า เจ้าหนี้จะมีบุริมสิทธิในทรัพย์สินของผู้ล้มละลายหรือไม่ ส่วนหนี้ที่เจ้าหนี้มีอยู่แก่ผู้ล้มละลายนั้น เป็นอันรับรองว่าได้มีอยู่จริงนั้น แม้ศาลจะตัดสินว่าเจ้าหนี้ไม่มีบุริมสิทธิ ก็คงถือได้ว่าเจ้าหนี้คงเป็นเจ้าหนี้ธรรมดาผู้ล้มละลายอยู่ คดีจึงเข้าอยู่ใน พ.ร.บ.ล้มละลายมาตรา 93 คือเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ภายใน 2 เดือนนับแต่วันคดีถึงที่สุด ( ประชุมใหญ่ ) ครั้งที่ 2/97
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ในการขอรับชำระหนี้หลังคดีบุริมสิทธิ์ถึงที่สุดในคดีล้มละลาย
ในกรณีที่เจ้าหนี้ของผู้ล้มละลายกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีเป็นการพิพาทในประเด็นว่า เจ้าหนี้จะมีบุริมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้ล้มละลายหรือไม่ ส่วนหนี้ที่เจ้าหนี้มีอยู่แก่ผู้ล้มละลายนั้น เป็นอันรับรองว่าได้มีอยู่จริงนั้น แม้ศาลจะตัดสินว่าเจ้าหนี้ไม่มีบุริมสิทธิ ก็คงถือได้ว่าเจ้าหนี้คงเป็นเจ้าหนี้ธรรมดาผู้ล้มละลายอยู่ คดีจึงเข้าอยู่ใน พ.ร.บ.ล้มละลายมาตรา 93 คือเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ภายใน 2 เดือนนับแต่วันคดีถึงที่สุด (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/97)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการแยกสินสมรส: เจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอแยกสินบริคณห์โดยคำร้องได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีใหม่
การร้องขอแยกสินบริคณห์ในชั้นบังคับคดีเพื่อดำเนินการไปตามคำพิพากษานั้น ทำเป็นคำร้องต่อศาลได้โดยไม่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นใหม่
ป.พ.พ.มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้
ป.พ.พ.มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและสินสมรส: เจ้าหนี้มีสิทธิขอแยกสินบริคณห์โดยคำร้องได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีใหม่
การร้องขอแยกสินบริคณห์ในชั้นบังคับคดีเพื่อดำเนินการไปตามคำพิพากษานั้น ทำเป็นคำร้องต่อศาลได้โดยไม่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นใหม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 มิได้บังคับไว้โดยชัดแจ้งว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน
ศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162-1164/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในที่ดินมรดกที่มีข้อพิพาท และการเพิกถอนนิติกรรมเนื่องจากผู้รับโอนรู้ถึงการเสียเปรียบของเจ้าหนี้เดิม
สัญญามีข้อความว่า " ที่ดินมรดกเรื่องนายคำ ร้องคัดค้านนายอ่องซึ่งเป็นส่วนของนางเทียบนายแว้นั้นข้าพเจ้าเป็นน้องนางเทียบ นายแว้เป็นผู้รับมรดกที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินรายนี้มีเท่าใดให้นายอ่องทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้รับเงินนายอ่องไป 410 บาท โดยขายให้นายอ่อง จึงได้ลงลายมือไว้เป็นสำคัญ " ดังนี้ เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามธรรมดา
การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกับประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน
ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วน แต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเพราะมี+สิทธิชำระได้ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ.ม. 237
การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกับประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน
ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วน แต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเพราะมี+สิทธิชำระได้ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ.ม. 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162-1164/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนมรดกและสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ผลกระทบต่อเจ้าหนี้และการได้ลาภงอกเงย
สัญญามีข้อความว่า " ที่ดินมรดกเรื่องนายคำ ร้องคัดค้านนายอ่องซึ่งเป็นส่วนของนางเทียบนายแว้นั้นข้าพเจ้าเป็นน้องนางเทียบนายแว้เป็นผู้รับมรดกที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินรายนี้มีเท่าใดให้นายอ่องทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้รับเงินนายอ่องไป410บาทโดยขายให้นายอ่อง จึงได้ลงลายมือไว้เป็นสำคัญ" ดังนี้ เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามธรรมดา
การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกันประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน
ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วนแต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้เพราะไม่มีทางบังคับชำระได้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. ม.237
การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกันประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน
ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วนแต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้เพราะไม่มีทางบังคับชำระได้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. ม.237