พบผลลัพธ์ทั้งหมด 392 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2520 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพยายามลักทรัพย์ในพื้นที่คอกสุกร ไม่ถือเป็นเคหสถานตามกฎหมาย
สถานที่เกิดเหตุเป็นคอกสุกรและห้องพักคนงานซึ่งมีรั้วสังกะสีล้อมทุกด้าน คอกสุกรสร้างขึ้นเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญของผู้เสียหายสำหรับเก็บรักษาสุกรโดยเฉพาะ ส่วนที่ห้องพักคนงานและฟ้องแถวเป็นวัตถุประสงค์อันดับรองที่สร้างขึ้นให้คนงานพักอาศัยชั่วคราวเพื่อดูแลสุกร คอกสุกรแม้จะติดอยู่กับห้องแถว ก็ไม่ใช่บริเวณของห้องแถวซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนดังกล่าว คอกสุกรจึงไม่ใช่เคหสถานตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1(4) การที่จำเลยเข้าไปยื่นอยู่ริมคอกสุกรภายในรั้วสังกะสี จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364
จำเลยได้เตรียมค้อน มีด และเชือกของกลางกลับมาที่เกิดเหตุ ได้ขุดรูใต้รั้วสังกะสีเพื่อทำเป็นช่องทางพาสุกรไป จำเลยเข้าไปอยู่ภายในรั้วสังกะสี ยืนอยู่ริมคอกสุกรภายในรั้ว ห่างประมาณ 1 เมตร โดยที่คอกสุกรตามสภาพมิได้ทำไว้กันขโมย แต่ทำไว้เพื่อมิให้สุกรออกไป จำเลยพร้อมที่จะลักเอาสุกรตัวใดตัวหนึ่งได้โดยสะดวกโดยใช้เครื่องมือดังกล่าวมัดหรือฆ่า แล้วพาไปทางรูใต้สังกะสีที่ขุดไว้ การกระทำของจำเลยถือว่าเข้าขั้นลงมือกระทำความผิด เป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์แล้ว แต่ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมาย มาตรา 335 (8)
จำเลยได้เตรียมค้อน มีด และเชือกของกลางกลับมาที่เกิดเหตุ ได้ขุดรูใต้รั้วสังกะสีเพื่อทำเป็นช่องทางพาสุกรไป จำเลยเข้าไปอยู่ภายในรั้วสังกะสี ยืนอยู่ริมคอกสุกรภายในรั้ว ห่างประมาณ 1 เมตร โดยที่คอกสุกรตามสภาพมิได้ทำไว้กันขโมย แต่ทำไว้เพื่อมิให้สุกรออกไป จำเลยพร้อมที่จะลักเอาสุกรตัวใดตัวหนึ่งได้โดยสะดวกโดยใช้เครื่องมือดังกล่าวมัดหรือฆ่า แล้วพาไปทางรูใต้สังกะสีที่ขุดไว้ การกระทำของจำเลยถือว่าเข้าขั้นลงมือกระทำความผิด เป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์แล้ว แต่ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมาย มาตรา 335 (8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1894/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นโทษทางอาญาจาก พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) ไม่ครอบคลุมการมีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้ในการสงคราม
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 5 บัญญัติยกเว้นโทษให้แก่ผู้มีอาวุธปืนฯ สำหรับใช้เฉพาะแต่ในทางสงครามและได้นำอาวุธปืนฯ ไปมอบให้นายทะเบียนท้องที่ภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ หาได้บัญญัติว่าการมีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไม่เป็นความผิดไม่ เช่นนี้จำเลยซึ่งถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่ามีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม จะอ้างว่าจำเลยไม่เคยค้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 และขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยไปไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำหน่ายยาเสพติด: การเรียงกระทงความผิด แม้ไม่มีการอ้างมาตรา 91
มีเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย 28 หลอด แล้วได้ขายไป 1 หลอด เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 20 ทวิ 2 กระทง แม้โจทก์ไม่อ้าง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลก็เรียงกระทงลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่า: การใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และการไม่เป็นฟ้องซ้ำ
อัยการศาลทหารเคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมาครั้งหนึ่งแล้วศาลทหารเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จะฟ้องต่อศาลทหารมิได้จึงพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใดดังนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนด้วยข้อหาเดียวกันนั้นอีกได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิด ตามมาตรา 340,83 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยอันเป็นความผิดหลายบทคือมาตรา 340 วรรคสี่กับมาตรา 289(6)(7),80แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมาและเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิด ตามมาตรา 340,83 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยอันเป็นความผิดหลายบทคือมาตรา 340 วรรคสี่กับมาตรา 289(6)(7),80แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมาและเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเพื่อกันคดีขาดอายุความ ไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายอาญา
การแจ้งความต่อหนักงานสอบสวนเรื่องจำเลยออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คว่า ผู้แจ้งเกรงว่าเช็คฉบับดังกล่าวจะขาดอายุความจึงมาแจ้งให้เจ้าพนกังานตำรวจทราบเพื่อกันเช็คขาดอายุความ ผู้แจ้งยังไม่ประสงค์จะร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างได โดยผู้แจ้งจะไปติดต่อด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งก่อน หากไม่ได้ผลจะมาร้องทุกข์อีกครั้งในภายหลัง ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความจำเป็นในการป้องกันทรัพย์สิน: การทุบทำลายพนังเพื่อระบายน้ำท่วม การกระทำไม่ผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 67
นาของ จ. กับพวกอยู่ทางเหนือของพนังกั้นน้ำ นาของจำเลยอยู่ทางใต้ของพนังและอยู่ในที่ลุ่ม เวลามีน้ำมากๆ นาของจำเลยจะถูกน้ำท่วมหมด หลังปี พ.ศ.2512 เป็นต้นมา น้ำท่วมนาของจำเลยเพราะมีผู้ถมดินปิดทางระบายน้ำจำเลยร้องไปทางอำเภอๆ ก็ไม่ทำอะไรจนปี พ.ศ.2516 ที่เกิดเหตุ จ. กับพวกหล่อคอนกรีตทับพนังกั้นน้ำและปิดช่องระบายน้ำอีก ทำให้น้ำท่วมนาของจำเลยสูงถึง 1 เมตรจนจำเลยไม่อาจทำนาได้ เมื่อจำเลยได้ดำเนินการที่จะขจัดความเสียหายโดยการร้องเรียนต่ออำเภอหลายครั้งแล้วไม่ได้ผลจำเลยจึงทุบทำลายพนังคอนกรีตนั้นโดยทำเพียงให้ขาดเป็นช่อง 3 ช่อง เพื่อไม่ให้น้ำท่วมนาจำเลยเท่านั้น แม้จะเป็นความผิด ก็เป็นการกระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้ทรัพย์สินของตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ จึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 51/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา, ฉุดคร่า, กักขัง: ความผิดหลายกระทงตามกฎหมายอาญา
จำเลยฉุดคร่าโจทก์ร่วมจากทางเดินพาเข้าไปในไร่อ้อยข้างทางห่างประมาณ 10 เส้นแล้วจึงข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 284 และ 310 กระทงหนึ่งกับเป็นความผิดตามมาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง ไม่ใช่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายอาญามาตรา 140 ด้วยประกาศคณะปฏิวัติ และการพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกับพยายามฆ่า
จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนประทุษร้ายก่อนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ใช้บังคับ การพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 จึงคลาดเคลื่อน เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 นั้น ไม่เป็นคุณแก่จำเลยจะนำมาใช้ปรับบทแก่การกระทำผิดของจำเลยหาได้ไม่ ต้องพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 และมาตรา 289, 80 ไม่ใช่ 2 กรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 และมาตรา 289, 80 ไม่ใช่ 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายอาญามาตรา 140 ด้วยประกาศคณะปฏิวัติ และการพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกับพยายามฆ่า
จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนประทุษร้ายก่อนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ใช้บังคับ การพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 จึงคลาดเคลื่อน เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 นั้น ไม่เป็นคุณแก่จำเลยจะนำมาใช้ปรับบทแก่การกระทำผิดของจำเลยหาได้ไม่ ต้องพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา140 และมาตรา 289,80 ไม่ใช่ 2 กรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา140 และมาตรา 289,80 ไม่ใช่ 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาใหม่ย้อนหลังไม่ได้ แม้จะเป็นคุณต่อจำเลย ศาลต้องใช้กฎหมายเดิมที่ใช้ ณ เวลาที่กระทำผิด
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2514 จำเลยกระทำความผิดสามกรรมต่างกัน คือฐานมีอาวุธปืนฯไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กระทงหนึ่ง ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและกระทำอนาจารแก่หญิงนั้น (กระทงหนึ่ง) สองบท และฐานประทุษร้ายหญิงผู้ถูกพาไปนั้นถึงอันตรายแก่กายอีกกระทงหนึ่งซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เดิมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยกระทำความผิด ให้อำนาจศาลที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ ต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 เป็นต้นไป ข้อ 2 ของประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา91 เดิมนั้นเสีย โดยให้ใช้ข้อความในประกาศดังกล่าวนั้นแทน ซึ่งให้ศาลลงโทษผู้กระทำความผิดหลายกรรมทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อมีประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวออกมาบัญญัติการวางโทษแตกต่างกับกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะจำเลยกระทำความผิดเช่นนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด ประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ศาลจึงต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เดิมแก่จำเลย และลงโทษจำเลยเฉพาะฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นกระทง(และบท) ที่หนักที่สุดแต่กระทงเดียวได้