พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3387/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นฟ้องร้อง และสิทธิครอบครองที่ดิน: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนาง ม. และโจทก์ฟ้องคดีเกิน1ปีนับแต่ถูกรบกวนการครอบครองคดีก็ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375เนื่องจากจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมาแต่แรกและการแย่งการครอบครองนั้นต้องยอมรับก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมาการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบมาตรา246เป็นการไม่ชอบและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่ผู้เช่านา: ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ก่อนฟ้อง
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจะฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่านาเลิกทำนาหรือขับไล่จำเลยได้ก็ต่อเมื่อได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524กรณีสิ้นระยะเวลาการเช่านาแล้วและผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาตามมาตรา37กรณีหนึ่งหรือกรณีผู้ให้เช่านาใช้สิทธิบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา31อีกกรณีหนึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะวินิจฉัยซึ่งคำวินิจฉัยคชก.ตำบลอาจอุทธรณ์ไปยังคชก.จังหวัดและศาลได้ตามมาตรา56และมาตรา57ตามลำดับเมื่อคชก.จังหวัดวินิจฉัยถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์เพราะมิได้ใช้สิทธิขอซื้อคืนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้วโจทก์ก็มาฟ้องขอให้จำเลยเลิกทำนาโดยมิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกรณีดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2683/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินจากการซื้อจากการขายทอดตลาด vs. การครอบครองทำประโยชน์เดิม โจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยได้
โจทก์ซื้อที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งมีที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองได้ ครอบครองแทน เจ้าของรวมอยู่ด้วยจากผู้ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลย่อมได้สิทธิในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1330จำเลยทั้งสองจึงไม่มี สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์มีสิทธิ ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเช่าในคดีขับไล่: ศาลไม่อาจใช้ค่าเช่าที่คาดการณ์ได้ หากมีหลักฐานค่าเช่าจริงในอดีต
แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องที่ขอให้ ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอาคารพิพาทว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ25,000บาทและใช้อัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ15,000บาทก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องโจทก์จำเลยนำสืบว่าจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าเดือนละ1,000บาทต้องฟังว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ2,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224เดิมซึ่งบังคับใช้ในขณะยื่นอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้ทางสาธารณประโยชน์และผลกระทบต่อการครอบครองที่ดิน การกระทำละเมิดสิทธิทำให้ฟ้องขับไล่ได้
จำเลยยกที่ดินของจำเลยทั้งหมดให้แก่ทางราชการเพื่อตัดเป็นถนนสาธารณะย่อมทำให้ที่ดินตกเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้ทางราชการไม่ได้ใช้ที่ดินทั้งหมดโดยคงเหลือส่วนของที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์เป็นที่ว่างระหว่างที่ดินของโจทก์กับถนนสาธารณะที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่และแม้ที่ดินของโจทก์เพิ่งมาติดกับที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยยกที่ดินให้แก่ทางราชการแล้วก็ตามโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเดินและนำรถยนต์ผ่านที่ดินพิพาทเข้าออกที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะได้เมื่อจำเลยนำดินและทรายมาถมกองและปลูกต้นไม้ไว้ในที่ดินพิพาทปิดบังทำให้โจทก์ใช้ประโยชน์เข้าออกที่ดินของโจทก์ไม่สะดวกและนำรถเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไม่ได้ถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7458/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินหลังสัญญาจะซื้อขายไม่สมบูรณ์ และอำนาจฟ้องขับไล่
ปัญหาว่า โจทก์ได้มอบการครอบครองทรัพย์สินที่จะซื้อขายแก่จำเลยที่ 2 อันเป็นการชำระหนี้บางส่วน สัญญาจะซื้อขายจึงเกิดขึ้นโดยมิต้องทำเป็นหนังสือกันอีก จึงไม่ต้องห้ามที่จะฟ้องร้องหรือต่อสู้คดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองนั้น เป็นข้อที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สัญญามีข้อความระบุว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ผู้เริ่มก่อการตั้งจำเลยที่ 2 เข้าครอบครองทรัพย์สินพิพาทเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายเสร็จ ทั้งนี้การครอบครองชั่วคราวจะไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2ไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิอยู่ในทรัพย์สินพิพาทจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 หลังจากนั้นเป็นการอยู่โดยละเมิดโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 โดยไม่จำต้องบอกกล่าวได้ การที่โจทก์มีหนังสือหลังจากวันดังกล่าวแจ้งให้จำเลยที่ 2ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์สินพิพาทให้แล้วเสร็จโดยเร็วแต่ต้องไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2530 หาใช่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ครอบครองทรัพย์สินพิพาทถึงวันดังกล่าว แต่เป็นเรื่องที่โจทก์เตือนให้จำเลยที่ 2 ออกไปจากทรัพย์สินพิพาท หนังสือดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะอยู่ในทรัพย์สินที่พิพาทโดยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีขับไล่ผู้เช่าที่มีค่าเช่าไม่เกิน 2,000 บาท และอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทตามสัญญาเช่าซึ่งกำหนดไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ค่าเช่าเดือนละ 350 บาทแม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท ภายหลังบอกเลิกสัญญามาด้วยทั้งก่อนฟ้องและหลังฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบและออกไปจากตึกพิพาท ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าเช่า จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ2,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224(เดิม)ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4996/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีขับไล่ - ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 5,000 บาท/เดือน
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วม จำเลยเข้ามาอยู่ในอาคารพิพาทโดยละเมิด ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหายแม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่า อาจนำอาคารพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ320 บาท โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงถือได้ว่าอาคารพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000 บาท แม้จำเลยจะให้การและฟ้องแย้ง แต่ก็มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ. (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6 ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเหมือนอย่างฟ้องโจทก์
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเหมือนอย่างฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ที่ดินราคาต่ำกว่าเกณฑ์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีข้อพิพาทด้วยเรื่องสิทธิครอบครองเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทราคาเพียง 8,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3839/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องหลังโอนกรรมสิทธิ์ และสิทธิของโจทก์ร่วมในคดีขับไล่
ขณะที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ได้ แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวให้แก่โจทก์ร่วมอำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไปส่วนโจทก์ร่วมผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้องต่อไป และโจทก์ร่วมสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้