พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาไม่ระงับเมื่อโจทก์ล้มละลาย สิทธิฟ้องยังคงอยู่หากยังไม่ถอนฟ้องหรือยอมความ
โจทก์เป็นนิติบุคคลฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ แล้วโจทก์ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย แม้จะถือว่าโจทก์สิ้นสภาพบุคคลก็หาได้มีกฎหมายบัญญัติว่า ในคดีอาญานั้นเมื่อโจทก์สิ้นสภาพบุคคลหรือตายแล้ว ให้คดีอาญาระงับไปคงมีแต่คดีอาญาเลิกกันและสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 37 และมาตรา 39 กับคดีอาญาเลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เท่านั้น คดีนี้เป็นคดีอาญาอยู่ระหว่างรอการอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังมีผลบังคับอยู่ จะนำ ป.วิ.พ. มาตรา 132 (3) มาใช้บังคับมิได้ เมื่อโจทก์มิได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความ หรือมีเหตุทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ และจำเลยทั้งสอง มิได้นำเงินตามจำนวนในเช็คมาชำระภายในสามสิบวันนับแต่ได้รับหนังสือจากผู้ทรงว่าธนาคารไม่ใช้เงินตามเช็คหรือมูลหนี้ที่ออกเช็คสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจะขอให้ศาลจำหน่ายคดีหาได้ไม่
สำหรับปัญหาการส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์กรณีที่โจทก์ไม่มีตัวตน หรือไม่มีผู้เข้าดำเนินคดีแทนนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 201 ประกอบมาตรา 216 ก็ได้บัญญัติแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว
สำหรับปัญหาการส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์กรณีที่โจทก์ไม่มีตัวตน หรือไม่มีผู้เข้าดำเนินคดีแทนนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 201 ประกอบมาตรา 216 ก็ได้บัญญัติแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224-2225/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและการระงับสิทธิเรียกร้อง
คดีอาญาโจทก์และจำเลยจะขอให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้องของจำเลยทั้งสองหาได้ไม่ แต่เมื่อเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เป็นผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และมีผลให้คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองระงับไปด้วยในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224-2225/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด และผลกระทบต่อคำพิพากษา
ในคดีอาญาโจทก์และจำเลยจะขอให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
คดีทั้งสองสำนวนเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองสำนวนถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และมีผลให้คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองระงับไปด้วยในตัว
คดีทั้งสองสำนวนเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองสำนวนถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และมีผลให้คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองระงับไปด้วยในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2197/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องในคดีอาญา: ป.วิ.อ. มาตรา 158 ใช้บังคับโดยเฉพาะ, ไม่อ้างอิง ป.วิ.พ. มาตรา 172
ในคดีอาญาเมื่อ ป.วิ.อ. มาตรา 158 ได้บัญญัติเรื่องคำบรรยายฟ้องไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 172 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดขอบเขตการพิจารณาคดีอาญาตามฟ้อง และการเล็งเห็นผลการกระทำที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
โจทก์บรรยายฟ้องระบุการกระทำของจำเลยว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า เหตุเกิดที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร แต่โจทก์นำสืบถึงการกระทำของจำเลยเป็น 3 ตอน ตอนที่ 1 คือ จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อพร้อมรถพ่วงพุ่งเข้าชนผู้เสียหาย เหตุเกิดที่เชิงสะพานพระราม 7 ถนนวงศ์สว่าง ตอนที่ 2 คือ จำเลยขับรถคันดังกล่าวแล่นไปตามถนนจรัญสนิทวงศ์ขณะที่ผู้เสียหายยืนเกาะอยู่ที่ประตูรถในลักษณะที่อาจทำให้ผู้เสียหายตกจากรถได้ และตอนที่ 3 คือ จำเลยขับรถคันดังกล่าวพุ่งเข้าชนผู้เสียหายที่ถนนจรัญสนิทวงศ์หน้าร้าน ฮ. เฟอร์นิเจอร์ ดังนี้ การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบในตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่
พยานโจทก์ไม่สมเหตุผลไม่น่าเชื่อว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อในลักษณะที่จะพุ่งเข้าชนผู้เสียหาย อย่างไรก็ตามการที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อตรงไปในขณะที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานยืนโบกมืออยู่บนถนนเพื่อเรียกให้จำเลยจอดรถนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ารถอาจเฉี่ยวชนผู้เสียให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ความผิดฐานนี้รวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
พยานโจทก์ไม่สมเหตุผลไม่น่าเชื่อว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อในลักษณะที่จะพุ่งเข้าชนผู้เสียหาย อย่างไรก็ตามการที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อตรงไปในขณะที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานยืนโบกมืออยู่บนถนนเพื่อเรียกให้จำเลยจอดรถนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ารถอาจเฉี่ยวชนผู้เสียให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ความผิดฐานนี้รวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญาเดิมเข้ากับคดีใหม่ แม้โจทก์มิได้ขอ ศาลชอบที่บวกได้หากปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและจำเลยรับ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งตามรายงานการสืบเสาะและพินิจ และจำเลยที่ 1 และที่ 2 แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องโทษตามคดีอาญาดังกล่าวอีกคนละ 2 คดี ของศาลชั้นต้นจริง โดยใหรอการลงโทษไว้และภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้ในคดีก่อน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มากระทำความผิดคดีนี้ เช่นนี้แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษคดีนี้ แต่เป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจ ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ศาลจึงต้องนำโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อนเรื่องนั้นของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายในความผิดอาญา ส่งผลให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับ
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 278 และมาตรา 284 วรรคแรก สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา 278 ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการกระทำแก่บุคคลดังระบุไว้ในมาตรา 285 เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 281 ส่วนความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคสาม ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 278 และมาตรา 284 วรรคแรก ของโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษคดีอาญาต่อเนื่อง: นับโทษต่อได้แม้คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด
คดีอาญาเรื่องก่อนยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง โดยพิพากษาแก้หรือกลับผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามโทษของศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษคดีอาญาเรื่องก่อนของศาลชั้นต้นต่อไปจนกว่าผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลนั้นๆ จะเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษคดีอาญาต่อเนื่อง: ศาลชอบที่จะนับโทษต่อได้แม้คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด
เมื่อคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลจังหวัดชลบุรีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 หากศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้มีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงโดยพิพากษาแก้หรือกลับผลของคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรีแล้ว จำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามโทษในคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีนั้นต่อไปจนกว่าผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้บทบัญญัติ ป.วิ.พ. ในคดีอาญา และการพิจารณาอายุความตาม ป.วิ.อ.
บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 15 มีความหมายชัดแจ้งว่า จะนำบทบัญญัติของ ป.วิ.พ. มาใช้บังคับในการพิจารณาคดีอาญาได้เฉพาะในกรณีที่ ป.วิ.อ. ไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับวิธีพิจารณาข้อนั้นและให้นำมาใช้บังคับเท่าที่จะใช้บังคับได้ บทบัญญัติมาตรา 4 วรรคสองและมาตรา 193/17 วรรคสอง ซึ่งเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงแห่ง ป.พ.พ. ไม่ใช่บทบัญญัติของ ป.วิ.พ. จึงนำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีอาญาไม่ได้ ทั้ง ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นว่าคดีขาดอายุความแล้วให้ศาลยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ ป.วิ.อ. ได้บัญญัติวิธีพิจารณาเกี่ยวกับอายุความไว้โดยเฉพาะ และไม่ใช่กรณีที่จะนำ ป.วิ.พ. มาใช้บังคับ