พบผลลัพธ์ทั้งหมด 671 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำให้เสียทรัพย์ด้วยการวางยาเป็ด: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์
เช้าวันเกิดเหตุก่อนเป็ดของผู้เสียหายตาย จำเลยได้นำข้าวใส่กะละมัง ไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำ และเป็ดของผู้เสียหายตายเพราะกินอาหารที่มีสารเคมีกำจัดแมลงผสมอยู่ แม้โจทก์จะไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยผสมสารเคมีกำจัดแมลงลงไปในข้าวและเป็ดของผู้เสียหายกินข้าวนั้น แต่การที่เป็ดของผู้เสียหายตายอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยหลังจากจำเลยนำข้าวไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำ โดยตรวจพบข้าวและสารเคมีกำจัดแมลงในกะเพาะอาหารของเป็ดที่ตาย เป็นพฤติการณ์เชื่อมโยงให้รับฟังได้ว่า เป็ดตายเพราะกินข้าวผสมสารเคมีกำจัดแมลงที่จำเลยวางไว้ และการที่จำเลยนำข้าวผสมสารเคมีกำจัดแมลงไปวางไว้ข้างสระน้ำที่เป็ดของผู้เสียหายมาเป็นประจำแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเป็ดของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4522/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โกงเจ้าหนี้: การโอนทรัพย์สินหนีหนี้ แม้ฟ้องแพ่งได้ ก็เป็นความผิดอาญา
จำเลยที่ 1 สัญญาว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามสัญญาจำเลยที่ 1 ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการใช้หนี้แทน จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ โจทก์เตือนให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 1ไม่ยอมโอน กลับนำไปโอนขายให้แก่บุคคลอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเพื่อให้ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350
เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว การที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งโดยขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เป็นสิทธิของโจทก์หาทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำสำเร็จแล้วกลายเป็นผู้ไม่ได้กระทำความผิดไม่ และไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบว่านอกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้กับไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเปิดเผยหรือไม่
เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว การที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งโดยขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เป็นสิทธิของโจทก์หาทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำสำเร็จแล้วกลายเป็นผู้ไม่ได้กระทำความผิดไม่ และไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบว่านอกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้กับไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเปิดเผยหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4431/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านรังวัดที่ดินโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดอาญา
จำเลยกับพวกร่วมกันทำหนังสือคัดค้านไม่ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์โดยจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องคัดค้านได้ คดีโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะว่ากล่าวเอาผิดแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการฟ้องเท็จ: จำเลยต้องรู้ว่าข้อความที่ฟ้องเป็นเท็จ การเข้าใจผิดเรื่องกรรมสิทธิ์ทำให้ขาดเจตนา
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175นั้น นอกจากผู้กระทำจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันฟ้องโจทก์ว่า โจทก์กระทำความผิดอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ใช้ชายหลายคนให้ทุบทำลายผนังตึกกำแพงด้านหลัง อาคาร ของจำเลยทั้งสองเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ากำแพงพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์นั้นเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตำรวจกระทำผิดอาญา ไม่เป็นเหตุบรรเทาโทษ
การที่ผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ศาลลดโทษให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนจริง ศาลไม่รับฟังพยานที่ไม่ชัดเจน
ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 นั้น ในชั้นพิจารณาคดีของศาล โจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์เพื่อได้ให้ความแน่ชัดว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนคนใดที่สถานีตำรวจแห่งใด ด้วยข้อความว่าอย่างไรมาแสดงต่อศาลจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังกล่าว คำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง มิใช่เป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณา และพยานเอกสารก็ส่งไว้ในชั้นไต่สวน มูลฟ้องโจทก์หาได้อ้างส่งศาลในชั้นพิจารณาไม่ จึงไม่ชอบ ที่จะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3343/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการกล่าวหาในความผิดอาญา และอำนาจการสอบสวน/ฟ้องคดี
ปรากฏตามสมุดรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า นาย ส.ร่วมกับจำเลยที่ 1 หลอกลวงเอาเงินโจทก์ร่วมไป ทำให้โจทก์ร่วมเสียหาย จึงได้มาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความร้องทุกข์ และมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการจนกว่าคดีถึงที่สุด เป็นการกล่าวหาเฉพาะนาย ส.กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่ได้กล่าวหาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งไม่ได้กล่าวหาว่ามีพวกของนาย ส.จำเลยที่ 1 หรือบุคคลอื่นที่ยังไม่ทราบชื่อร่วมกระทำผิด การกล่าวหาจึงไม่ครอบคลุมถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่เป็นการกล่าวหาที่โจทก์ร่วมมีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับโทษ ไม่เป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา2 (7), 123 พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2014/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในกุฏิพระ: กุฏิไม่ใช่สถานที่บูชาสาธารณะ แต่เป็นเคหสถาน
กุฏิพระเป็นเคหสถาน แต่ไม่ใช่สถานที่บูชาสาธารณะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานเติมข้อความในบันทึกจับกุม และเบิกความเท็จ ส่งผลต่อการดำเนินคดีอาญา
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่ทำการจับกุมโจทก์มีหน้าที่ทำและกรอกข้อความในบันทึกการจับกุมได้ทำและกรอกข้อความลงในบันทึกการจับกุมนั้น โดยลงลายมือชื่อ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำบันทึก พร้อมทั้งให้โจทก์ในฐานะผู้ต้องหา ลงลายมือชื่อจนเป็นเอกสารที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ไปเขียนเติมข้อความอีกว่าสอบถามผู้ต้องหาแล้วให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งไม่เป็นความจริงจึงเป็นการเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริง น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้น บางส่วนโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้นแล้ว การกระทำ ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจับกุมผู้กระทำความผิดได้จับกุมโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสาร แต่กรอกข้อความเพิ่มเติมลงในบันทึกจับกุม ว่า สอบถามโจทก์แล้วให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ทั้งที่ทราบว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะบันทึกการจับกุมดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่ศาลอาจฟังลงโทษโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกความว่า"ข้าพเจ้าเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและขอจับกุมโดยแสดงหมายจับให้จำเลยที่ 1 ดูด้วยข้าพเจ้าแจ้งข้อหาว่าจำเลยฐานปลอมเอกสารตามข้อความในหมายจับ จำเลยให้การรับสารภาพ" ซึ่งเป็นความจริงและเป็นข้อสำคัญในคดีโจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงขาดการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดเท่าที่จะทำให้จำเลยที่ 1เข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158,18(5) ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหานี้ได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขออนุญาตซักค้านพยานอันเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์เพิ่งกล่าวอ้างขึ้นมาในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จ: พยานหลักฐานต้องสำคัญในคดี
ความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จตาม ป.อ.มาตรา 180 และ 177 มีองค์ประกอบความผิดสำคัญประการหนึ่งว่า พยานหลักฐานและคำเบิกความอันเป็นเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีที่นำสืบหรือเบิกความด้วย ดังนั้นประเด็นสำคัญในคดีมีว่าอย่างไร พยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่โจทก์จะต้องบรรยายไว้ให้ชัดแจ้งในคำฟ้อง เมื่อคำฟ้องของโจทก์หาได้บรรยายถึงสาระสำคัญเช่นว่านั้นไม่ ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5)