คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความยินยอม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 569 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5915/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยขยายไปถึงผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 3 ออกให้จำเลยที่ 2ระบุว่า การคุ้มครองผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดเองแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิด โดยผู้นั้นได้ขับขี่รถยนต์คันที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5915/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์: ผู้ขับขี่โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดตามกรมธรรม์
ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 3 ออกให้จำเลยที่ 2 ระบุว่า การคุ้มครองผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่า บุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้วจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดเองแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิด โดยผู้นั้นได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวโดยความยินยอมของจำเลยที่2 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์ไปชนรถยนต์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกันภัยรถยนต์: ความยินยอมผู้ขับขี่เสมือนผู้เอาประกันภัย
จ.เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยที่ 3 แม้จะมีข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.3 ว่า บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายก็ตาม แต่กรมธราม์ดังกล่าวข้อ 2.8 ก็มีข้อความว่า บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 2นำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้โดยให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของตนเป็นคนขับ แล้วเกิดเหตุคดีนี้ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย และมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเอง เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 3 ก็ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยตามสัญญาข้อ 2.8 ซึ่งเป็นข้อตกลงพิเศษ หาได้ขัดกับมาตรา 887 วรรคหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกันภัยทางรถยนต์: ความรับผิดของผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอม และข้อยกเว้นตามกรมธรรม์
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่าบริษัทผู้รับประกันภัยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายและบริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองเมื่อจำเลยที่2นำรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยที่3รับประกันภัยไว้ไปใช้โดยให้จำเลยที่1ลูกจ้างของตนเป็นคนขับแล้วเกิดเหตุละเมิดขึ้นต้องถือว่าจำเลยที่1ขับรถโดยความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยและมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเองจำเลยที่3จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยและหาเป็นการขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887วรรคหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์: ผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมของผู้เอาประกันภัยมีฐานะเสมือนผู้เอาประกันภัย ทำให้บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบ
จ. เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยที่3แม้จะมีข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ2.3ว่าบริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายก็ตามแต่กรมธรรม์ดังกล่าวข้อ2.8ก็มีข้อความว่าบริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองจำเลยที่2นำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้โดยให้จำเลยที่1ลูกจ้างของตนเป็นคนขับแล้วเกิดเหตุคดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่1ขับรถโดยความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยและมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเองเมื่อจำเลยที่1ทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420จำเลยที่3ก็ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยตามสัญญาข้อ2.8ซึ่งเป็นข้อตกลงพิเศษหาได้ขัดกับมาตรา887วรรคหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5562/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด: สิทธิของผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดไม่ต้องได้รับความยินยอม
ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด จะโอนหุ้นของตนให้บุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็น หุ้นส่วนอื่นไม่ได้ แต่สำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดอาจโอนหุ้นให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยลำพังไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1091

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการและจำหน่ายสินสมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส หากไม่ได้รับความยินยอม นิติกรรมไม่สมบูรณ์
ตามมาตรา 1476, 1477 และ 1480 แห่ง ป.พ.พ. บรรพ 5ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้บัญญัติไว้มีใจความว่า นอกจากสัญญาก่อนสมรสจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น สามีและภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน อำนาจจัดการสินสมรสรวมถึงอำนาจจำหน่ายสินสมรสด้วยในการจัดการสินสมรส ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปโดยปราศจากความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่ง นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งให้สัตยาบัน เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีทำสัญญาจะขายที่ดินสินสมรสให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยา นิติกรรมย่อมไม่สมบูรณ์ โจทก์จึงไม่อาจจะบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพาผู้อื่นไปกระทำอนาจารโดยไม่ยินยอม แม้เริ่มด้วยความสมัครใจก็ถือเป็นความผิด
วันเกิดเหตุมีงานศพที่วัดวังมะปราง บิดามารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายไปช่วยงานศพที่วัด ดังนี้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ 17 ปี ออกจากวัดวังมะปราง แม้ในตอนแรกผู้เสียหายจะสมัครใจไปด้วย แต่การพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและปลุกปล้ำกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้น ถือว่าผู้เสียหายมิได้เต็มใจไปด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา278, 318 วรรคสาม
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ไม่ถูกต้อง เพราะอายุที่ถือเป็นเกณฑ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว คือ อายุขณะที่กระทำความผิด ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ยังอ่อนเยาว์ต่อความรู้สึกผิดชอบสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารโดยไม่ได้รับความยินยอม แม้ผู้เสียหายจะไปด้วยความสมัครใจแต่ถูกพาไปเพื่อประสงค์ต่อการกระทำผิด อายุผู้กระทำผิดขณะกระทำความผิดเป็นสำคัญ
วันเกิดเหตุมีงานศพที่วัดวังมะปราง บิดามารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายไปช่วยงานศพที่วัดดังนี้การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ17ปีออกจากวัดวังมะปราง แม้ในตอนแรกผู้เสียหายจะสมัครใจไปด้วยแต่การพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและปลุกปล้ำกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้นถือว่าผู้เสียหายมิได้เต็มใจไปด้วยจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา278,318วรรคสาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีอายุ19ปีลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ไม่ถูกต้องเพราะอายุที่ถือเป็นเกณฑ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวคืออายุขณะที่กระทำความผิดซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยอายุ17ปีเศษยังอ่อนเยาว์ต่อความรู้สึกผิดชอบสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนสัญญาซื้อขายทรัพย์สินสมรสที่ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส โดยอ้างกรรมสิทธิ์รวม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่พิพาททั้งแปลง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนเพียงครึ่งหนึ่ง จำเลยฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงมีเพียงครึ่งหนึ่งของราคาที่พิพาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ซึ่งเป็นสามี ถือได้ว่าโจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมกันทำนองเดียวกับการมีกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1356แห่ง ป.พ.พ. การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมกันในฐานะเจ้าของรวมคนละกึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 1357 และพิพากษาให้เพิกถอนการขายที่พิพาทกึ่งหนึ่ง จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง และไม่ใช่ข้อวินิจฉัยที่นอกประเด็นที่กำหนดไว้ เพราะคดีนี้ไม่มีการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาท เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
of 57