พบผลลัพธ์ทั้งหมด 327 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3677/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กรณีจับกุมแล้วปล่อยตัวผู้ต้องหา
จำเลยรับราชการเป็นตำรวจซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยได้รับแต่งตั้งตามกฎหมาย ย่อมเป็นเจ้าพนักงาน แม้จำเลยจะรับราชการประจำกองกำกับการตำรวจม้า มีหน้าที่ในการถวายอารักขาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรอบเขตพระราชฐานก็เป็นเพียงหน้าที่เฉพาะตามคำสั่งแต่งตั้งของทางราชการแต่โดยทั่วไปจำเลยยังมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 การที่จำเลยจับกุมโจทก์ร่วมหาว่ามีพลอยหนีภาษีและยึดพลอยของกลางไว้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายเมื่อจำเลยจับกุมโจทก์ร่วมและยึดพลอยของกลางไว้ แล้วกลับปล่อยโจทก์ร่วมไปไม่นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ย่อมเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3560/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานศุลกากรจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยลักลอบนำเข้าทองคำ โดยชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าพนักงานศุลกากรซึ่งมีอำนาจทำการอันเกี่ยวกับการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(16) ดังนั้น เมื่อจับกุมผู้กระทำผิดแล้ว จึงมีอำนาจควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าที่จำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87
จำเลยกับพวกจับโจทก์ได้พร้อมด้วยทองคำแท่งเมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ต้องทำบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ต้องตรวจชั่งทองคำแท่งของกลางและประเมินราคาและทำบันทึกรายงานต่ออธิบดีกรมศุลกากรเพื่อให้เปรียบเทียบปรับและงดฟ้องโจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ทองคำแท่งของกลางก็มีจำนวนมาก การที่จำเลยควบคุมตัวโจทก์ไว้เป็นเวลาประมาณ 21 ชั่วโมงนับแต่เวลาจับกุม จึงไม่เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ
จำเลยกับพวกจับโจทก์ได้พร้อมด้วยทองคำแท่งเมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ต้องทำบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ต้องตรวจชั่งทองคำแท่งของกลางและประเมินราคาและทำบันทึกรายงานต่ออธิบดีกรมศุลกากรเพื่อให้เปรียบเทียบปรับและงดฟ้องโจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ทองคำแท่งของกลางก็มีจำนวนมาก การที่จำเลยควบคุมตัวโจทก์ไว้เป็นเวลาประมาณ 21 ชั่วโมงนับแต่เวลาจับกุม จึงไม่เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3560/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานศุลกากรในการจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย พร้อมเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการ
เจ้าพนักงานศุลกากรซึ่งมีอำนาจทำการอันเกี่ยวกับการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(16) ดังนั้น เมื่อจับกุมผู้กระทำผิดแล้ว จึงมีอำนาจควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าที่จำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87
จำเลยกับพวกจับโจทก์ได้พร้อมด้วยทองคำแท่งเมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ต้องทำบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ต้องตรวจชั่งทองคำแท่งของกลางและประเมินราคาและทำบันทึกรายงานต่ออธิบดีกรมศุลกากรเพื่อให้เปรียบเทียบปรับและงดฟ้องโจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ทองคำแท่งของกลางก็มีจำนวนมาก การที่จำเลยควบคุมตัวโจทก์ไว้เป็นเวลาประมาณ 21 ชั่วโมงนับแต่เวลาจับกุม จึงไม่เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ
จำเลยกับพวกจับโจทก์ได้พร้อมด้วยทองคำแท่งเมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ต้องทำบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ต้องตรวจชั่งทองคำแท่งของกลางและประเมินราคาและทำบันทึกรายงานต่ออธิบดีกรมศุลกากรเพื่อให้เปรียบเทียบปรับและงดฟ้องโจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ทองคำแท่งของกลางก็มีจำนวนมาก การที่จำเลยควบคุมตัวโจทก์ไว้เป็นเวลาประมาณ 21 ชั่วโมงนับแต่เวลาจับกุม จึงไม่เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278-279/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและควบคุมตัวโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายและการปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานเข้าไปค้นกุฏิของโจทก์ที่ 1 โดยไม่มีหมายค้นค้นไม่พบของผิดกฎหมาย แล้วคุมตัวโจทก์ทั้งสองไปสถานีตำรวจโดยไม่มีหมายจับไม่แจ้งข้อหา โดยโจทก์ทั้งสองไม่เต็มใจไป เมื่อไปถึงสถานีตำรวจก็กำหนดให้นั่งจนถึงเวลา 14 นาฬิกาจึงให้กลับได้ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการจับโดยไม่มีอำนาจจะทำได้ ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ได้ แต่กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 309เพราะเป็นการที่โจทก์ทั้งสองถูกจับพาไป มิใช่ถูกจำเลยข่มขืนใจให้ไปโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง เกียรติยศ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2702/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล: การขัดขืนการจับกุมโดยไม่มีหมายจับและการจ่ายเงินหลังถอนฟ้อง
แม้เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้แล้วจำเลยจะต้องจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่ง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกลับจะนำเงินที่นำมาด้วยกลับไปนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยไม่อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2702/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล: การจับกุมโดยไม่มีหมายจับและการใช้กำลังฉุดกระชาก
แม้เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้แล้วจำเลยจะต้องจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่ง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง กลับจะนำเงินที่นำมาด้วยกลับไปนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืน.ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืน.ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้รับเงินรางวัลจากการจับกุมความผิดทางศุลกากร ต้องเป็นการจับกุมโดยชอบด้วยกฎหมายและมีรายงานการจับกุมที่ถูกต้อง
บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้าไม่ใช่การจับกุมตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 24/2508 เรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับใบแจ้งความนำจับ รายงานการจับกุม และรายงานการตรวจพบการเก็บอากรขาด เมื่อพนักงานศุลกากรจับกุมแล้ว ต้องทำรายงานการจับกุมต่อผู้บังคับบัญชาด้วย เมื่อผู้ร้องไม่ได้ทำรายงานการจับกุมเพียงแต่บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้า ผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานศุลกากรจึงไม่ใช่ผู้จับกุมบุคคลที่กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการจับกุม
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่เฉพาะตาม พระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2506 มาตรา 3ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจจะพึงมี กล่าวคือมีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 วรรคท้าย โดยไม่มีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเองและต้องเป็นกรณีออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503 มาตรา 6 (3) ว่าต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนที่จะต้องทำการจับกุมแต่อย่างใดอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายประธาน ก.ต.ก. หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติแทนไม่ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. จึงไม่ใช่ผู้จับกุมจำเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่เฉพาะตาม พระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2506 มาตรา 3ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจจะพึงมี กล่าวคือมีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 วรรคท้าย โดยไม่มีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเองและต้องเป็นกรณีออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503 มาตรา 6 (3) ว่าต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนที่จะต้องทำการจับกุมแต่อย่างใดอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายประธาน ก.ต.ก. หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติแทนไม่ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. จึงไม่ใช่ผู้จับกุมจำเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมผู้กระทำผิดศุลกากร: การรายงานจับกุมและการใช้อำนาจจับกุมของเจ้าหน้าที่ศุลกากรและ ก.ต.ภ.
บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้าไม่ใช่การจับกุมตามคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 24/2508 เรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับใบแจ้งความนำจับรายงานการจับกุมและรายงานการตรวจพบการเก็บอากรขาด เมื่อพนักงานศุลกากรจับกุมแล้วต้องทำรายงานการจับกุมต่อผู้บังคับบัญชาด้วยเมื่อผู้ร้องไม่ได้ทำรายงานการจับกุมเพียงแต่บันทึกกักสินค้าหลังใบขนสินค้าผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานศุลกากรจึงไม่ใช่ผู้จับกุมบุคคลที่กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการจับกุม
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่เฉพาะตาม พระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2506 มาตรา 3ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะพึงมี กล่าวคือมีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 วรรคท้าย โดยไม่มีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเองและต้องเป็นกรณีออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503 มาตรา 6(3) ว่าต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนที่จะต้องทำการจับกุมแต่อย่างใดอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายประธาน ก.ต.ก. หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติแทนไม่ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. จึงไม่ใช่ผู้จับกุมจำเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ก.ต.ภ. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรมีอยู่เฉพาะตาม พระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2506 มาตรา 3ไม่ได้มีอำนาจทั่วไปอย่างที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะพึงมี กล่าวคือมีอำนาจจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 วรรคท้าย โดยไม่มีหมาย แต่ต้องจับด้วยตนเองและต้องเป็นกรณีออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งยังมีข้อจำกัดอำนาจอยู่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ. 2503 มาตรา 6(3) ว่าต้องเป็นกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วนด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสำนักงานที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่จำเป็นหรือเร่งด่วนที่จะต้องทำการจับกุมแต่อย่างใดอำนาจจับโดยไม่ต้องมีหมายประธาน ก.ต.ก. หามีอำนาจมอบให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิบัติแทนไม่ผู้ร้องที่เป็นพนักงาน ก.ต.ก. จึงไม่ใช่ผู้จับกุมจำเลยไม่มีสิทธิได้รับรางวัลการจับกุมเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตำรวจจับกุมและเรียกรับสินบน: ความผิดตามมาตรา 149
จำเลยเป็นตำรวจประจำการกองร้อย 4 กก. อารักขาและความปลอดภัยบก.สายตรวจปฏิบัติการพิเศษตำแหน่งลูกแถวย่อมมีอำนาจสืบสวนคดีอาญา และมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือหมายค้นในเมื่อเป็นความผิดซึ่งหน้าแม้ที่เกิดเหตุจะเป็นที่รโหฐาน การที่จำเลยไปพบจ. กับพวกกำลังเล่นการพนันในห้องชั้นบนบ้าน อันเป็นที่รโหฐานและจับกุม จ. กับพวกในข้อหาดังกล่าว ย่อมเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยเรียกและรับเงินจาก จ. แล้วปล่อยตัว จ. กับพวกโดยไม่ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3682/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือคนต่างด้าว: การอยู่กินฉันสามีภริยา ไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม
กรณีจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 จะต้องได้ความว่า ผู้ที่จำเลยให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยก็ทราบแล้ว ทั้งต้องเป็นการให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผย ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท.และให้ใช้นามสกุลของท.บ้านที่ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผย ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท.และให้ใช้นามสกุลของท.บ้านที่ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด