พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ประเด็นลดโทษมาตรา 76 ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ และการโต้เถียงดุลพินิจศาล
ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ว่าขณะจำเลยกระทำความผิดจำเลยมีอายุยังไม่เกินยี่สิบปีแต่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุไว้ในคำพิพากษาให้ลดหรือไม่ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76แก่จำเลยเป็นการชอบหรือไม่นั้นมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและมิได้เป็นข้อที่จำเลยยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค2จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา225 ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีเหตุสมควรได้รับการลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค2อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2812/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีที่ดินพิพาท: การโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารสิทธิและการออกทับที่ดิน เป็นฎีกาต้องห้าม
คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยมีเลขที่ดินต่างกัน ทั้งรูปที่ดินทั้งสองแปลงก็ไม่เหมือนกันฟังไม่ได้ว่า น.ส.3 ก.ของจำเลยออกทับ น.ส.3 ก.ของโจทก์ โจทก์จึงร้องขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก.ของจำเลยไม่ได้ การที่โจทก์ฎีกาว่า ล.พยานโจทก์เบิกความว่า ที่ดินพิพาทเป็นของตนได้มาโดยทางมรดก ต่อมาได้ขายให้แก่ อ.ต่อมา อ.ขายให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องมา จำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท การที่จำเลยไปขอออกเอกสารสิทธิในที่ดิน จึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ กรณีมีเหตุเพิกถอน น.ส.3 ก.ของจำเลย เพราะออกทับที่ดิน น.ส.3 ก.ของโจทก์นั้นจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่ามีเหตุเพิกถอน น.ส.3 ก.ของจำเลยหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เลย
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิจารณาเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9341/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง & การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนรับฎีกาตามมาตรา 248 และ 243(2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคู่ความยื่น ฎีกาพร้อมกับคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แล้วศาลชั้นต้นต้องส่งฎีกาไปให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งคำร้องของผู้ฎีกาก่อนแล้วจึงจะมีคำสั่งต่อไปได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาดังกล่าวโดยสั่งในฎีกาด้วยว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้ดำเนินการตามที่ผู้ยื่นฎีการ้องขอ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาจึงไม่ชอบด้วยเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8492/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงอายุผู้เสียหายเพื่อปฏิเสธเจตนา เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปีมีกำหนด 7 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสองและฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีมีกำหนด 5 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 317วรรคสาม โดยให้เรียงกระทงลงโทษ รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกรวม 8 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนั้นโทษแต่ละกระทงที่ลดโทษแล้วจึงไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายมีอายุไม่เกินสิบห้าปี การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อเจตนากระทำความผิดนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยรู้หรือไม่รู้ว่าผู้เสียหายมีอายุเท่าใดนั้น เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงและเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายมีอายุไม่เกินสิบห้าปี การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อเจตนากระทำความผิดนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยรู้หรือไม่รู้ว่าผู้เสียหายมีอายุเท่าใดนั้น เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงและเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7879/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้ากันรังวัดที่ดิน ผลการรังวัดผูกพันคู่ความ หากไม่โต้แย้งในชั้นต้นฎีกาใหม่ข้อเท็จจริงเดิมต้องห้าม
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีกเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่มมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฎว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้วแม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดแต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7851/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง และการพิจารณาความชอบของฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ได้ระบุทางนำสืบ
ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้องคำให้การของจำเลย คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้ง และเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 246 โจทก์หาจำต้องระบุทางนำสืบของคู่ความแต่ละฝ่ายมาในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วยไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์เพิ่มอีก 7,400 บาท เป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยมิได้คืนรถยนต์ให้โจทก์โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นจำนวนไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7518/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคสอง กรณีค่าเช่าไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ศาลจะอนุญาตและรับฟังและจำเลยไม่ผิดสัญญาเช่านั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่เห็นว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นสัญญาเช่าบ้านซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทไม่มีความจำเป็นจะต้องสืบเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนไปเนื่องจากข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้เช่าช่วงจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7513/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ปัญหาทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสามแล้วให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมให้จำเลยที่4และที่5ออกจากที่พิพาทและใช้ค่าเสียหายจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยที่2ที่4และที่5ฎีกาว่าจำเลยที่2รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่1โดยสุจริตเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว