คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผลผูกพัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 804 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 806/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และสิทธิครอบครองที่ดินสาธารณะ
มูลคดีทางแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ก็คือมูลคดีเกี่ยวกับที่พนักงานอัยการได้ฟ้องร้องโจทก์ในคดีอาญาข้อหาบุกรุกประเด็นตามคำชี้ขาดของศาลในคดีอาญามีประเด็นอย่างเดียวกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่ดินสาธารณะคดีของโจทก์จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาโจทก์เป็นคู่ความในคดีอาญานั้นแม้จำเลยทั้งสองจะมิใช่คู่ความในคดีอาญาโดยตรงแต่โดยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองมีหน้าที่ดูและป้องกันมิให้ผู้ใดบุกรุกที่ดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยทั้งสองจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายในคดีอาญานั้นเท่ากับพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียหายนั่นเองโจทก์และจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ได้ความในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่ส. ผู้แจ้งการครอบครองแม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากส. และครอบครองทำประโยชน์ต่อมาโจทก์ก็หาได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7079/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายฝากที่ดินโดยตัวแทนที่ไม่เปิดเผยชื่อ ผลผูกพันต่อโจทก์และค่าขึ้นศาล
การที่จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการมีชื่อแทนในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และโจทก์อยู่ในฐานะเป็นตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนำที่ดินไปขายฝากแก่สามีจำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ทำการออกหน้าเป็นตัวการในการขายฝาก โจทก์หาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของสามีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันเขามีต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนและสามีจำเลยที่ 2 ขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 การขายฝากที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่สามีจำเลยที่ 2 จึงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินพิพาท เป็นการฟ้องร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมายนั้น เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป จึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ซึ่งตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 200,000 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์ และแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ และจำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง เห็นได้ว่าเป็นคำขอให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีในประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์ดังข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอันเป็นข้อกฎหมายนั่นเอง กรณีจึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการพิพากษาถึงที่สุด ผลผูกพันคู่ความ
ในคดีที่ผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องนั้น ศาลได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 คำพิพากษาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันผู้ร้องและผู้คัดค้าน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง เมื่อคู่ความแถลงรับว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้และคดีก่อนเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและมีจำนวนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เท่ากัน ดังนั้น ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์: ผลผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุด
ในคดีที่ผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องนั้นศาลได้พิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382คำพิพากษาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันผู้ร้องและผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งเมื่อคู่ความแถลงรับว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้และคดีก่อนเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและมีจำนวนเนื้อที่ประมาณ2ไร่เท่ากันดังนั้นผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ2ไร่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6808/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันและผลของการผิดสัญญาตกลงเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่พิพาทพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น และการตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีก และโจทก์จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6808/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความยังคงมีผลผูกพัน แม้มีการตกลงเพิ่มเติม หากฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา การตกลงเดิมยังใช้ได้
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น และการตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีก และโจทก์จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6808/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความยังคงมีผลผูกพัน แม้มีการตกลงเพิ่มเติม หากฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา การตกลงใหม่ไม่ตัดสิทธิเดิม
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น และการตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีก และโจทก์จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6501/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาขัดแย้งกัน: คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลผูกพันและใช้บังคับเหนือคำพิพากษาเดิม
โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก พ.มีหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อให้การแบ่งปันทรัพย์มรดกเป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1719แม้โจทก์ได้ทำการแบ่งแยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ถึงที่สุดให้โจทก์แบ่งที่ดินมรดกให้แก่จำเลยทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน และโจทก์ได้ทำการแบ่งแยกให้แก่จำเลยทั้งสามแล้วก็ตาม แต่เมื่อคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีการฟ้องร้องก่อนที่โจทก์จะแบ่งแยกที่ดินมรดกให้จำเลยทั้งสาม ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินมรดกเป็น7 ส่วน แล้วให้ ส.ได้รับส่วนแบ่ง 1 ส่วน ดังนี้ คำพิพากษาอันเป็นที่สุดของศาลตามคดีแพ่งทั้งสองคดีดังกล่าวย่อมขัดกัน กรณีต้องถือตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่า ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 146 วรรคหนึ่ง และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสาม ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ด้วย
เมื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งแยกที่ดินมรดกออกเป็น 4 ส่วน แบ่งให้จำเลยทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์แบ่งปันทรัพย์มรดกรายนี้เสร็จสิ้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดพิพาทให้โจทก์เพื่อดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกต่อไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ การใช้สิทธิฟ้องคดีของโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาที่ไม่สมบูรณ์และผลของการไม่ปฏิเสธคำพิพากษา
จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 30,000 บาท และจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินโดยยังไม่ได้กรอกข้อความ แต่มีการกรอกข้อความและจำนวนเงินขึ้นภายหลัง โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอม หนังสือสัญญากู้เงินจึงเป็นเอกสารปลอม แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกทั้งจำเลยฎีกาขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยถึง ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ 230,000 บาท เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพัน, การลดเบี้ยปรับ, และค่าทนายความที่เหมาะสมกับรูปคดี
ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาที่โจทก์กับพวกฟ้องจำเลยรวม11คดีภายในกำหนด3วันนับแต่วันทำสัญญาและให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ระบุไว้คืนแก่จำเลยภายในกำหนด15วันนับแต่วันทำสัญญาและจำเลยตกลงจะชำระเงินแก่โจทก์จำนวน18,000,000บาทภายในวันที่31กรกฎาคม2535ปรากฏว่าสำนวนคดีที่ตกลงให้โจทก์ถอนฟ้องเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497จำนวน6คดีและเป็นคดีฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ในทางแพ่งจำนวน5คดีทั้ง11คดีดังกล่าวไม่ใช่คดีอาญาแผ่นดินฉะนั้นข้อตกลงในส่วนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา150แม้ข้อตกลงในส่วนที่ให้จำเลยถอนฟ้องและไม่ดำเนินคดีในข้อหาฟ้องเท็จตามคดีอาญาที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารจ.1ข้อ1(ฎ)เป็นคดีอาญาแผ่นดินซึ่งอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นส่วนที่แยกออกจากส่วนที่สมบูรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา173ซึ่งไม่เกี่ยวกับส่วนที่จำเลยจะต้องชำระเงินเพื่อตอบแทนแก่โจทก์ในการที่โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีทั้ง11สำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องเช็คขึ้นวินิจฉัยเป็นไปตามประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องจึงไม่เป็นเรื่องนอกประเด็น การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงยินยอมให้เบี้ยปรับแก่โจทก์เป็นเงิน5,000,000บาทหากจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาแสดงว่าจำเลยที่1มีเจตนาผูกพันตามนั้นจำเลยที่1จึงมีหน้าที่ต้องเสียเบี้ยปรับแก่โจทก์แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นโดยเด็ดขาดศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้โดยพิจารณาถึงทางได้เสียของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีนี้ไม่ยุ่งยากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลแก่โจทก์รวม3,000,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นดุลพินิจที่เหมาะกับรูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะไปเปลี่ยนแปลง
of 81