คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิจารณาคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 477 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6920/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดีต้องเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทโดยตรง หากไม่เกี่ยวก็ไม่สามารถคุ้มครองได้
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264นั้นคู่ความฝ่ายใดจะร้องขอก็ได้แต่จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สินสิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพากษากันเกี่ยวกับหุ้นโดยโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยชอบจำเลยทั้งสองมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินปันผลของหุ้นพิพาทมาด้วยซึ่งผลของคดีถ้าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายชนะศาลก็เพียงแต่พิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การของจำเลยทั้งสองเท่านั้นไม่มีผลบังคับไปถึงเงินปันผลอันเป็นผลประโยชน์ของหุ้นพิพาทตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอคุ้มครองได้คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้เยาว์เป็นโจทก์ร่วม – ความสามารถของบุคคล – ผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยมิได้ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมจัดการแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ-อาญา มาตรา 5 (1) นั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาและคดีไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5063/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นอนาถาและการชำระค่าธรรมเนียมศาล: เมื่อชำระแล้ว ประเด็นเรื่องอนาถาจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
การที่จำเลยขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ก็เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยแต่เมื่อปรากฏตามสำนวนว่าจำเลยได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แล้วปัญหาเรื่องอนาถาตามฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีที่จะพิจารณาต่อไปให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดยื่นคำให้การและการพิจารณาคดีต่อไปได้ แม้มีการร้องขอเลื่อนไต่สวน
จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4 กันยายน 2535ก่อนถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันเวลาเดียวกับที่นัดสืบพยานโจทก์ วันที่ 4 กันยายน 2535 จึงเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การจำเลยและวันนัดสืบพยานโจทก์ด้วยเพราะศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานโจทก์ แต่เมื่อถึงวันดังกล่าวทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าทนายจำเลยได้มาศาลและร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนลงมือสืบพยานโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 วรรคสอง ดังนั้นในเรื่องของการพิจารณาคดี จึงถือได้ว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาให้สืบพยานโจทก์แล้วชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 202

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ศาลใช้ดุลพินิจลดโทษเหมาะสมแล้ว
จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพมาแต่ต้นโดยปฏิเสธสู้คดีมาตลอดจนสืบพยานโจทก์เสร็จและสืบพยานจำเลยไปบางส่วนแล้วทั้งตามสำนวนก็ปรากฏว่าจำเลยจะต่อสู้คดีต่อไปอีกอีกทั้งการที่จำเลยต่อสู้คดีอ้างเหตุไม่ต้องรับผิดว่าเป็นการป้องกันพี่ชายและไม่รู้ว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานนั้นล้วนเป็นการปฏิเสธคำรับสารภาพจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาทั้งหมดที่ศาลควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งส่วนเหตุผลที่ว่าเป็นคดีมีโทษสูงซึ่งโจทก์ต้องสืบพยานประกอบอยู่แล้วก็หาใช่เหตุผลที่จะนำมาพิจารณาในกรณีนี้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์คณะผู้พิพากษาไม่เป็นไปตามกฎหมาย ความชอบธรรมในการพิจารณาคดี
การที่ บ.ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมาแล้วมาเป็นองค์คณะลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 11 (5)ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอันสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีขององค์คณะศาลที่ขัดแย้งตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การที่บ. ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมาแล้วมาเป็นองค์คณะลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา11(5)ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอันสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา247ประกอบด้วยมาตรา243(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่มีใจความสรุปว่า ในวันนัดสืบพยาน ทนายจำเลยมาศาลเวลา 8.30 นาฬิกา ได้ตรวจสอบวันนัดกับเวลานัดของศาลซึ่งเป็นใบลอยติดไว้ที่หน้าศาล ปรากฏว่าคดีนี้ศาลนัดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกาทนายจำเลยได้ไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์ ก็ปรากฏว่าตรงกันคือเวลา 13.30นาฬิกา เพื่อความแน่ใจทนายจำเลยจึงไปสอบถามเกี่ยวกับบัลลังก์ว่าคดีดังกล่าวจะพิจารณาที่บัลลังก์ใด ปรากฏว่าเป็นบัลลังก์ที่ 40 และได้ไปนั่งรออยู่หน้าบัลลังก์ดังกล่าวระหว่างนั้น ล.เสมียนพิมพ์ดีดของบัลลังก์ที่ 40 ได้เข้ามาที่บัลลังก์ที่ 40 จึงได้สอบถามล.ได้ไปสอบถาม ธ.เสมียนหน้าบัลลังก์ที่ 40 ได้ตรวจสอบแล้วให้ ล.มาบอกทนายจำเลยว่าคดีนี้นัดตอนบ่าย ทนายจำเลยได้รออยู่จนเวลา 9.05 นาฬิกา จึงออกไปนอกศาลและกลับมาเวลา 13.30 นาฬิกา ปรากฏว่าศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้วในตอนเช้า ดังนี้หากเป็นจริงดังทนายจำเลยอ้าง จำเลยก็มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นควรไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนนั้นเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดของคดีหย่าและแบ่งสินสมรสเมื่อคู่สมรสเสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดี
คดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อโจทก์ตายก่อนคดีถึงที่สุดเนื่องจากมีการขอพิจารณาใหม่ ซึ่งมีผลให้การสมรสสิ้นสุดลงเสียก่อนที่คำพิพากษาให้หย่าและแบ่งสินสมรสจะถึงที่สุด จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีต่อไป ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีตามคำท้าของคู่ความ และการขอพิจารณาใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความ มิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัด อันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้า ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
of 48