พบผลลัพธ์ทั้งหมด 327 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่? ประเด็นต่างกัน ศาลต้องพิจารณาใหม่ แม้เป็นคู่ความเดิม
คดีก่อนจำเลยที่2คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่และจำเลยที่1มิได้แจ้งให้จำเลยที่2ทราบก่อนทำให้จำเลยที่2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่2ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่1ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่1ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่าและจำเลยที่2และจำเลยที่1กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่1และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ไปภายหลังจำเลยที่1กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่2และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง200บาทตามตาราง1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(2)(ก)แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นละเมิดต่างกัน: ศาลยกคำพิพากษาเดิมให้พิจารณาใหม่ และคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน
คดีก่อนจำเลยที่2คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่และจำเลยที่1มิได้แจ้งให้จำเลยที่2ทราบก่อนทำให้จำเลยที่2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่2ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่1ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่1ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่าและจำเลยที่2และจำเลยที่1กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่1และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ไปภายหลังจำเลยที่1กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่2และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง200บาทตามตาราง1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(2)(ก)แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนดเวลาและมีรายละเอียดครบถ้วน หากไม่เป็นไปตามกฎหมาย ศาลมีอำนาจยกคำร้องได้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ยื่นมานั้นถ้าศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าเป็นคำร้องที่ไม่กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งสาเหตุที่ขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคสองศาลก็มีอำนาจสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้และเมื่อมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียแล้วก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องส่งสำเนาคำร้องให้แก่อีกฝ่ายเพื่อคัดค้านหรือไม่อีก จำเลยทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอพิจารณาใหม่ฉบับแรกแล้วได้ยื่นคำร้องฉบับที่2อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยสมบูรณ์ตามกฎหมายแม้คำร้องฉบับที่2จะต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันกับฉบับแรกก็ตามแต่จำเลยก็ต้องยื่นต่อศาลภายในกำหนด15วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีตามคำท้าของคู่ความ และการขอพิจารณาใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความ มิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัด อันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้า ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาโดยคู่ความขาดนัดและการกลับสู่สถานะเดิมหลังพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวเนื่องจากจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แล้วพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน โดยไม่มีการส่งคำบังคับให้จำเลย แต่โจทก์นำคำพิพากษาไปให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนสมรส เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นแล้ว จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่มีการบังคับตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208
เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาใหม่แล้ว คำพิพากษาโดยคู่ความขาดนัดของศาลชั้นต้นและวิธีการบังคับคดีที่ดำเนินไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 วรรคแรก การที่โจทก์ไปให้นาย-ทะเบียนบันทึกการหย่าตามคำพิพากษาในทะเบียนสมรส จึงถูกเพิกถอนไปด้วยสถานะบุคคลของโจทก์จำเลยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นสามีภริยากัน
เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาใหม่แล้ว คำพิพากษาโดยคู่ความขาดนัดของศาลชั้นต้นและวิธีการบังคับคดีที่ดำเนินไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 วรรคแรก การที่โจทก์ไปให้นาย-ทะเบียนบันทึกการหย่าตามคำพิพากษาในทะเบียนสมรส จึงถูกเพิกถอนไปด้วยสถานะบุคคลของโจทก์จำเลยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นสามีภริยากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาหย่าเมื่อจำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่ภายในกำหนด และผลกระทบต่อสถานะบุคคล
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวเนื่องจากจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันโดยไม่มีการส่งคำบังคับให้จำเลยแต่โจทก์นำคำพิพากษาไปให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ในทะเบียนสมรสเป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นแล้วจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด6เดือนนับแต่วันที่มีการบังคับตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208 เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาใหม่แล้วคำพิพากษาโดยคู่ความขาดนัดของศาลชั้นต้นและวิธีการบังคับคดีที่ดำเนินไปแล้วนั้นถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา209วรรคแรกการที่โจทก์ไปให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าตามคำพิพากษาในทะเบียนสมรสจึงถูกเพิกถอนไปด้วยสถานะบุคคลของโจทก์จำเลยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นสามีภริยากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ส่งผลให้คดีไม่มีประเด็นพิพาท และไม่สามารถขอพิจารณาใหม่ได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ซ.ผู้ตายเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทจึงไม่มีประเด็นที่พิพาท ในวันไต่สวนคำร้องผู้ร้องขอถอนคำร้องศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดี ไม่ใช่กรณีศาลแสดงว่าผู้ร้องขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท ผู้ร้องจึงขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ไม่ได้
หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องและจำหน่ายคดีแล้วผู้ร้องขอให้ศาลเรียก ร.เข้ามาในคดี และเรียกเอกสารในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1554/2535 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการพิจารณา ไม่ทำให้คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทเพราะการถอนคำร้องลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 176
เมื่อผู้ร้องถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้วจึงไม่มีคำร้องที่ผู้ร้องจะยกขึ้นมาขอพิจารณาใหม่ได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องใหม่ได้เท่านั้น
หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องและจำหน่ายคดีแล้วผู้ร้องขอให้ศาลเรียก ร.เข้ามาในคดี และเรียกเอกสารในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1554/2535 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการพิจารณา ไม่ทำให้คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทเพราะการถอนคำร้องลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 176
เมื่อผู้ร้องถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้วจึงไม่มีคำร้องที่ผู้ร้องจะยกขึ้นมาขอพิจารณาใหม่ได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องใหม่ได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เกินกำหนดหลังทราบเรื่องฟ้อง พ้นระยะเวลาตามกฎหมาย
คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในวันที่จำเลยมาขอตรวจสำนวนที่ศาล ย่อมถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กรณีตกอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคแรก ที่จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและคำร้องขอพิจารณาใหม่ โดยมีเหตุผลจากความผิดพลาดเรื่องเวลา
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการพิจารณาใหม่: ศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่ได้หากโจทก์ไม่ได้จงใจขาดนัดและมีเหตุผลสมควร
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) แล้วจำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนายโจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกันแสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อนโจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสีย ค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง