คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1483/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีเช็ค: รายละเอียดหนี้ไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้อง เพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหา
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้นแม้ไม่ได้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าอะไรและบังคับได้ตามกฎหมายอย่างไรก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าอะไรและบังคับได้ตามกฎหมายอย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้องฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมดอายุความฟ้อง: คำวินิจฉัย คชก. ถึงที่สุดเมื่อไม่ฟ้องภายใน 60 วัน
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา56 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด" และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่ที่ทราบคำวินิจฉัย คชก.จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย" และวรรคสอง ที่บัญญัติว่า "ให้นำมาตรา 56 วรรคสองวรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับแก่การมีคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดโดยอนุโลม"นั้น หมายความว่า หากคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียจะฟ้องหรืออุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลต้องฟ้องหรืออุทธรณ์ต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด หรืออย่างช้าต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย หากไม่ได้ฟ้องหรืออุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าว คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุด คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่มีอำนาจฟ้องหรืออุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวได้อีก การที่โจทก์ร้องเรียนต่อ คชก.ตำบลว่า โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อทำนาตั้งแต่ พ.ศ.2524 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบก่อน ครั้นวันที่ 19 ตุลาคม 2532 คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้เช่านาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 21, 63 จึงไม่อยู่ในอำนาจของ คชก.ตำบล ตามมาตรา 13 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด คชก.จังหวัดได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 ยืนยันตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลโจทก์จึงมาฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2533 ซึ่งพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 ที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย ต้องถือว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกขึ้นวินิจฉัย แต่ปัญหาดังกล่าวจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้คดี และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ก็ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกา ถือได้ว่ามีประเด็นที่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ทั้งปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษที่ไม่ถูกต้องตามฟ้อง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พระราชบัญญัติญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30เป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(1)(2)(5)หรือ(8)และมาตรา78มาด้วยจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่4)พ.ศ.2535มาตรา30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7247/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมการโอนต้องฟ้องลูกหนี้ร่วมด้วย หากทิ้งฟ้องลูกหนี้ ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาเพิกถอน
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 นั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย ศาลจึงจะมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ แม้โจทก์จะฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยที่ 1แต่ต่อมาศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องซึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176บัญญัติให้ถือเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7019/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของโจทก์ร่วมที่อาศัยฟ้องของอัยการ และการริบของกลางที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
โจทก์ร่วมเข้ามาดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง โดยอาศัยสิทธิ ตามฟ้องของพนักงานอัยการ เมื่อคำฟ้องของพนักงานอัยการไม่มีคำขอให้ริบของกลางโจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องให้นอกเหนือไปจากฟ้องของพนักงานอัยการการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนี้และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบของกลาง จึงไม่ชอบ แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เกินกำหนดหลังทราบเรื่องฟ้อง พ้นระยะเวลาตามกฎหมาย
คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในวันที่จำเลยมาขอตรวจสำนวนที่ศาล ย่อมถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กรณีตกอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคแรก ที่จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีเช็คต้องระบุหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นฟ้องไม่ชอบ
ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่ ฉ. เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องต้องอ้างผิดที่เกิดก่อนวันฟ้อง การรับสารภาพภายหลังไม่ถือเป็นความผิด
การฟ้องขอให้ลงโทษผู้ใด ต้องเป็นกรณีที่ผู้นั้นได้กระทำผิดมาแล้วก่อนวันเวลาที่โจทก์ยื่นฟ้อง การที่โจทก์ยื่นฟ้องวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ซึ่งเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดภายหลังวันที่โจทก์ยื่นฟ้อง แม้จำเลยจะมิได้ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ศาลก็ยกขึ้นพิจารณาวินิจฉัยได้ อีกทั้งการที่จำเลยรับสารภาพ ก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด จึงพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการฟ้องที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลชั้นต้น แม้จำเลยอ้างเหตุไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่า จำเลยได้ตัดต้นอ้อยออกจากที่ดินโจทก์ไปขายหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ที่จำเลยให้การว่าตามฟ้องระบุว่ายังมีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการบิดเบือนและที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บอกกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยก็อาศัยเหตุว่ามีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทเป็นหลัก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาท อีกทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ตามหนังสือและการฟ้องผิดสัญญาประกันภัย การฟ้องต้องสอดคล้องกับหนังสือรับสภาพหนี้
หนังสือของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7 กล่าวอ้างถึงหนังสือของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยเคยขอเสนอชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 147,375.06 บาท และจำเลยยืนยันในหนังสือเอกสารหมาย จ.7 อีกครั้งว่าจะชำระค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน 147,375.06 บาท ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด แม้จำนวนเงินที่จำเลยเสนอจะต่ำกว่าที่โจทก์เรียกร้อง เป็นจำนวนเงิน174,203.40 บาท ก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้โต้แย้งค่าสินไหมทดแทนในจำนวนเงิน147,375.06 บาท กลับยืนยันว่าจะใช้เงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ หนังสือของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7 จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตามความหมายใน ป.พ.พ.มาตรา172 เดิม
ความเสียหายของเครื่องปั๊มน้ำเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย การเสี่ยงภัยทุกชนิดในการติดตั้งไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกัยภัยการขนส่งทางทะเลตามฟ้อง เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเล แม้โจทก์จะฟ้องบังคับจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่าเป็นการรับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเล เมื่อได้ความว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิดในการติดตั้ง มิได้รับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเลตามฟ้องเช่นกัน เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง
of 83