พบผลลัพธ์ทั้งหมด 584 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด แม้ยังไม่ชำระราคาครบถ้วนหรือจดทะเบียน ก็มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองปรปักษ์ได้
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นโดยสุจริตและวางเงินมัดจำไว้บางส่วน แต่ก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้ แม้โจทก์จะยังมิได้ชำระราคาที่ดินพิพาทครบถ้วนหรือยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยผู้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้จากการบังคับคดี: โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ตึกพิพาทโจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ของศาลชั้นต้นแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่าสิทธิการเช่าตึกของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนานั้นโจทก์ได้มาจากการขายทอดตลลาด โดยการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยมาแล้วจะเข้าอยู่ในตึกพิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างกรมการศาสนากับโจทก์ ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเช่าที่โจทก์ได้มาโดยการขายทอดตลาดตามวิธีการบังคับคดีแต่ประการใดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้มาจากการบังคับคดี: โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
โจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าตึกของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนามาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้มาจากการบังคับคดี ถือเป็นการได้มาโดยชอบธรรม โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ตึกพิพาทโจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ของศาลชั้นต้นแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่าสิทธิการเช่าตึกของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนานั้นโจทก์ได้มาจากการขายทอดตลาดโดยการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531ซึ่งถือได้ว่าเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยมาแล้วจะเข้าอยู่ในตึกพิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างกรมการศาสนากับโจทก์ ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเช่าที่โจทก์ได้มาโดยการขายทอดตลาดตามวิธีการบังคับคดีแต่ประการใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินประทานบัตรหมดอายุ ผู้รับโอนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ จนกว่าจะได้รับประทานบัตรใหม่
ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้ว โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทได้
เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ จำเลยต่อสู้คดีว่าประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว และจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท คดีโจทก์ขาดอายุความคดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ จำเลยต่อสู้คดีว่าประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว และจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท คดีโจทก์ขาดอายุความคดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินหลังประทานบัตรหมดอายุ: โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จนกว่าจะได้รับประทานบัตรใหม่
โจทก์รับโอนประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่มาจากบริษัท อ.ก่อนที่ประทานบัตรของโจทก์จะสิ้นอายุ โจทก์ได้ดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ แต่จนถึงวันฟ้องคดี โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น และตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510มาตรา 73(3) ก็บัญญัติว่า เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้น ก่อนที่โจทก์จะได้รับประทานบัตรฉบับใหม่ โจทก์ยังไม่ได้สิทธิใด ๆ ในที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ขณะที่โจทก์เข้าไปดำเนินการในที่พิพาท เพื่อขอประทานบัตรใหม่เป็นการขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์ ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว แต่เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ และจำเลยต่อสู้คดีว่า ประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว ที่พิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินประทานบัตรสิ้นอายุ: ผู้รับโอนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จนกว่าจะได้รับประทานบัตรใหม่
ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้ว โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทได้ เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ จำเลยต่อสู้คดีว่าประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5407/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีเดิมที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่บริวาร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากที่ดิน ในฐานะเป็นบริการของ ส. เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของ ส. โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ในฐานละเมิดสิทธิในที่ดินของโจทก์ประเด็นแห่งคดีต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความในการฟ้องขับไล่: ศาลไม่อาจบังคับคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอื่น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่ามาวางศาลในเดือนใด จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าว และบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันทีก็ตามแต่เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้ถือเอาคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งมาเป็นข้อแพ้ชนะกัน และเมื่อคดีที่คู่ความท้ากันยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จำเลยจะผิดนัดโจทก์จะมาขอให้ศาลออกคำบังคับในคดีนี้หาได้ไม่ เพราะหากจำเลยต้องถูกบังคับให้ออกจากอาคารและที่ดินพิพาทกับต้องชดใช้ ค่าเสียหายให้โจทก์ ก็มีผลเท่ากับโจทก์ชนะคดีในประเด็นที่พิพาทกันนั่นเอง ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณาโจทก์จึงนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่แท้จริง: ตัวแทน vs. ผู้เช่าจริง สิทธิในการฟ้องขับไล่
โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ไม่เคยอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทเลยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้อาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ 1ได้ประกอบการค้าอยู่ในตึกแถวพิพาทด้วย จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทจำนวน 270,000 บาท ให้แก่บริษัท ท. หลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทแล้ว จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระค่าเช่าตึกแถวพิพาทในนามของโจทก์มาตลอดพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับบริษัท ท. โจทก์ย่อมไม่อาจอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทมาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้