คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รับสารภาพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 559 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลัง ผู้เสียหายและพยานยืนยันตัวตนคนร้าย มีหลักฐานรับสารภาพและชี้จุดเกิดเหตุ
เมื่อผู้เสียหายและนางสาว ค. ประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยต่างยืนยันว่าจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหายทั้งภายหลังเกิดเหตุไม่นานเมื่อร้อยตำรวจโท ส. จับจำเลยมาจากห้องน้ำซึ่งจำเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ผู้เสียหายก็ยืนยันในขณะนั้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพตลอดมาและยังได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้ด้วยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้แน่ชัดปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำผิดจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลอกลวงไม่ใช่การจัดหางาน แม้รับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังฟ้อง เพราะขาดองค์ประกอบอันจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้
กรณีจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนหางานเพื่อทำงานในต่างประเทศ แต่ตามฟ้องคดีนี้โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกว่า จำเลยสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ 40,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งผู้เสียหายทั้งหกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าบริการให้จำเลยซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นได้ จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งหก คงมีแต่เจตนาหลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกเพื่อที่จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งหกเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528
เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาจัดหางานสำคัญกว่า หากไม่มีเจตนาแต่หลอกลวงเพื่อเอาเงิน แม้รับสารภาพก็ไม่ผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางาน
ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานมาตรา30วรรคหนึ่งนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนหางานเพื่อทำงานในต่างประเทศเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกว่าจำเลยสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ40,000บาทต่อเดือนซึ่งผู้เสียหายทั้งหกต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าบริการให้จำเลยซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานได้คำบรรยายฟ้องดังกล่าวแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้คงมีแต่เจตนาหลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกเพื่อที่จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามที่โจทก์ฟ้องแม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5354/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำแย่งใช้คลื่นสัญญาณไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ แม้มีการรับสารภาพ
ปัญหาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2537ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2537 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้ทำและมีเครื่องวิทยุคมนาคม โดยการนำโทรศัพท์มือถือมาทำการปรับจูนโดยใช้เครื่องดีเลอโค๊ด และก๊อปปี้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์หมายเลข 9573336 ซึ่งเป็นคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ระบบเซลลูล่า 900 มือถือของบริษัท อ. ผู้เสียหาย เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือดังกล่าวจนสามารถใช้ส่งและรับวิทยุคมนาคมได้ แล้วจำเลยได้บังอาจลักเอาไปซึ่งสัญญาณโทรศัพท์หมายเลข 9573336 ของผู้เสียหาย คิดค่าเสียหายเป็นเงิน24,733 บาท โดยทุจริต โดยใช้โทรศัพท์มือถือดังกล่าวส่งและรับวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตนั้น ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 334 การที่ฟ้องระบุว่าจำเลยนำโทรศัพท์มือถือมาทำการปรับจูนและก๊อปปี้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์หมายเลข 9573336 ของผู้เสียหายแล้วใช้ทำการรับส่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตนั้นเป็นเพียงการทำการรับส่งวิทยุคมนาคม โดยอาศัยคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเป็นการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของผู้เสียหายโดยไม่มีสิทธิ มิใช่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 334 แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5033/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพที่ไม่ชัดเจน การพิสูจน์ความผิดฐานนำเข้าของผิด และความผิดต่างกรรมกันในการแปรรูปไม้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักลอบนำเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับของดังกล่าวจากคนร้ายไว้ในครอบครองโดยช่วยกันซ่อนเร้นซื้อและช่วยพาเอาไปเสียซึ่งสิ่งของดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรแสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาเดียวเพราะความผิดฐานลักลอบนำเข้ามาเองกับความผิดฐานรับเอาไว้จากที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้คำให้การของจำเลยที่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาทุกประการไม่ชัดเจนพอว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยานจึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวไม่ได้และไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ การแปรรูปไม้หวงห้ามและการมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองแม้จำเลยกระทำผิดในวันเวลาเดียวกันและไม้แปรรูปที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่จำเลยแปรรูปเองและกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกันก็ตามการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดต่างกรรมกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4347/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วอ้างข้อเท็จจริงใหม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่2ให้การรับสารภาพตามฟ้องและชั้นอุทธรณ์ก็อุทธรณ์เพียงขอให้รอการลงโทษการที่จำเลยที่2ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่2ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297แต่เป็นเพียงความผิดตามมาตรา295เท่านั้นจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย: การให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนที่เชื่อมโยงถึงความผิด
การที่จำเลยให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้เพื่อใส่ในก๋วยเตี๋ยวที่จำเลยขายก็มีความหมายว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะการขายก๋วยเตี๋ยวที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมก็เท่ากับได้จำหน่ายกัญชานั้นให้ผู้ที่ซื้อก๋วยเตี๋ยวจากจำเลยด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพคำฟ้องโดยผู้ไม่รู้ภาษาไทย: การไต่สวนและพิสูจน์ความเข้าใจ
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นคนไทยแต่ไม่รู้ภาษาไทยเพียงพอและขณะศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยไม่มีล่ามช่วยแปลนั้นศาลชั้นต้นได้ไต่สวนปัญหานี้ตามคำสั่งของศาลฎีกาแล้วปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดและเข้าใจภาษาไทยสามารถตอบคำถามทนายจำเลยโจทก์และศาลเป็นภาษาไทยโดยมิต้องใช้ล่ามแปลดังนั้นเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาและคำฟ้องแล้วกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยบันทึกคำให้การรับสารภาพของจำเลยไว้จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบไม่ชอบเหตุที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ จำเลยอ้างว่าเป็นคนมีสัญชาติไทยจำเลยก็อาจขอพิสูจน์สัญชาติได้ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ.2522มาตรา57

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพและการพิสูจน์ความผิดทางอาญา: โจทก์ต้องสืบพยานแม้จำเลยรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ, 62,89, 106 ทวิ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยมีอายุ16 ปีเศษ และถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 75 ก็ตาม ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพและการสืบพยาน: ศาลต้องฟังพยานก่อนลงโทษ แม้จำเลยอายุน้อย
ความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176วรรคหนึ่งแม้จำเลยมีอายุ16ปีเศษและถ้าศาลเห็นสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา75แต่ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพโจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยานศาลชั้นต้นจึงให้รอฟังคำพิพากษาและได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยฟังได้ในวันนั้นเองถือว่าโจทก์ไม่ได้สืบพยานให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาลงโทษจำเลยจึงไม่ถูกต้องปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบด้วยมาตรา225
of 56