พบผลลัพธ์ทั้งหมด 228 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทำให้เสียทรัพย์: เจ้าของทรัพย์ต้องเป็นผู้ร้องทุกข์ ผู้ครอบครองไม่มีอำนาจฟ้องแทน
ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยตัดฟันต้นมะขามเทศในที่ดินของมารดา เมื่อมารดาไม่ร้องทุกข์ ผู้เสียหายซึ่งเป็นเพียงผู้อาศัยย่อมไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานทำให้เสียทรัพย์กับจำเลยซึ่งเป็นบุตรของเจ้าของทรัพย์ได้
บทบัญญัติในมาตรา 194 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นหมายเฉพาะข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์เท่านั้น
คดีเรื่องทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยฟังว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์อาจยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยมิได้เป็นคนทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายได้ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะผู้เสียหายที่ร้องทุกข์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำให้ทรัพย์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แม้โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจแปลข้อความในฎีกานั้นได้ว่า พอถือได้ว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย และถ้าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นให้ด้วย
บทบัญญัติในมาตรา 194 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นหมายเฉพาะข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์เท่านั้น
คดีเรื่องทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยฟังว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์อาจยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยมิได้เป็นคนทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายได้ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะผู้เสียหายที่ร้องทุกข์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำให้ทรัพย์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แม้โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจแปลข้อความในฎีกานั้นได้ว่า พอถือได้ว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย และถ้าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นให้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทำให้เสียทรัพย์: เจ้าของทรัพย์ต้องเป็นผู้ร้องทุกข์ หรือได้รับมอบอำนาจ หากไม่ได้ร้องทุกข์ ผู้ครอบครองไม่มีอำนาจฟ้อง
ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยตัดฟันต้นมะขามเทศในที่ดินของมารดา เมื่อมารดาไม่ร้องทุกข์ ผู้เสียหายซึ่งเป็นเพียงผู้อาศัยย่อมไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานทำให้เสียทรัพย์กับจำเลยซึ่งเป็นบุตรของเจ้าของทรัพย์ได้
บทบัญญัติในมาตรา 194 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นหมายเฉพาะข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์เท่านั้น
คดีเรื่องทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยฟังว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์อาจยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยมิได้เป็นคนทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายได้ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะ ผู้เสียหายที่ร้องทุกข์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำให้ทรัพย์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แม้โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจแปลข้อความในฎีกานั้นได้ว่า พอถือได้ว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย และถ้าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นให้ด้วย
บทบัญญัติในมาตรา 194 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นหมายเฉพาะข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์เท่านั้น
คดีเรื่องทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยฟังว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์อาจยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยมิได้เป็นคนทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายได้ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามที่มีอุทธรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะ ผู้เสียหายที่ร้องทุกข์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ทำให้ทรัพย์เสียหาย ดังนี้ โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แม้โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจแปลข้อความในฎีกานั้นได้ว่า พอถือได้ว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย และถ้าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นให้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198-199/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาร้องทุกข์/ฟ้องคดีอาญา ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากกฎหมายอาญาไม่ได้กำหนด
เมื่อกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติถึงวิธีการกำหนดนับระยะเวลาร้องทุกข์และฟ้องร้องไว้ จึงต้องกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 21 วรรค 2 เป็นบทบัญญัติในการคำนวณระยะเวลาจำคุกเท่านั้น
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 21 วรรค 2 เป็นบทบัญญัติในการคำนวณระยะเวลาจำคุกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความร้องทุกข์โดยมีเจตนาให้ดำเนินคดี แม้มิได้มอบคดีให้เจ้าพนักงาน ก็ถือเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย
การที่พนักงานตำรวจจดรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันไว้ว่า"โจทก์ได้มาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมจำเลยหาว่าบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ คดีเรื่องนี้ผู้แจ้งจะฟ้องร้องด้วยตนเอง จึงมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน" นั้น เห็นได้ว่า โจทก์ได้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดและแจ้งเพื่อจะให้จำเลยได้รับโทษ โดยโจทก์จะฟ้องร้องเอาความผิดแก่จำเลยเสียเอง จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: ผู้เสียหายที่แท้จริงและสิทธิในการร้องทุกข์
ผู้รับเงินฝากย่อมมีอำนาจที่จะเอาไปใช้จ่ายได้ ว และมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบ ดังนั้น เมื่อผู้รับฝากถูกหลอกลวง ผู้รับฝากก็ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ แต่กลับไม่ร้องทุกข์มอบให้ดำเนินคดี ด้วยเหตุนี้โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนผู้ฝากเงินซึ่งมิได้ถูกหลอกลวงนั้น มิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำผิดของจำเลย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ดังนั้น ผู้ว่าคดีศาลแขวงฯ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 39/2505
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 39/2505
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีความผิดอันยอมความกันได้: การร้องทุกข์และการฟ้องภายใน 3 เดือน
คดีความผิดอันยอมความกันได้ แม้ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีแดง ถ้าโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีก็ขาดอายุความ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 เป็นบทบังคับว่า ถ้าไม่ได้ร้องทุกข์ในกำหนด คดีก็ขาดอายุความ ฉะนั้น ถ้าผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์แต่ละฟ้องเลยทีเดียว ก็ต้องฟ้องใน 3 เดือน เช่นเดียวกัน เพราะในกรณีอย่างนี้ถือได้ว่า การฟ้องนั้นเท่ากับการร้องทุกข์แล้ว จึงหาต้องร้องทุกข์อีกไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 เป็นบทบังคับว่า ถ้าไม่ได้ร้องทุกข์ในกำหนด คดีก็ขาดอายุความ ฉะนั้น ถ้าผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์แต่ละฟ้องเลยทีเดียว ก็ต้องฟ้องใน 3 เดือน เช่นเดียวกัน เพราะในกรณีอย่างนี้ถือได้ว่า การฟ้องนั้นเท่ากับการร้องทุกข์แล้ว จึงหาต้องร้องทุกข์อีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีความผิดอันยอมความได้ การฟ้องถือเป็นการร้องทุกข์
คดีความผิดอันยอมความกันได้ แม้ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองถ้าโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีก็ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 เป็นบทบังคับว่าถ้าไม่ได้ร้องทุกข์ในกำหนดคดีก็ขาดอายุความ ฉะนั้น ถ้าผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์แต่จะฟ้องเลยทีเดียว ก็ต้องฟ้องใน 3 เดือนเช่นเดียวกันเพราะในกรณีอย่างนี้ถือได้ว่าการฟ้องนั้นเท่ากับการร้องทุกข์แล้ว จึงหาต้องร้องทุกข์อีกไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 เป็นบทบังคับว่าถ้าไม่ได้ร้องทุกข์ในกำหนดคดีก็ขาดอายุความ ฉะนั้น ถ้าผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์แต่จะฟ้องเลยทีเดียว ก็ต้องฟ้องใน 3 เดือนเช่นเดียวกันเพราะในกรณีอย่างนี้ถือได้ว่าการฟ้องนั้นเท่ากับการร้องทุกข์แล้ว จึงหาต้องร้องทุกข์อีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัว การให้การพยานไม่ถือเป็นการร้องทุกข์โดยปริยาย
ป.ให้การเป็นพยานในเรื่องที่จำเลยถูกหาว่า ฆ่าคนตาย คำให้การพาดพิงถึงการที่ ป. ถูกจำเลยจับไปกักขังไว้ด้วย จะถือว่าเป็นการร้องทุกข์ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ ในร่างกายด้วยโดยปริยาย หาได้ไม่ เมื่อไม่มีการร้องทุกข์ ของผู้เสียหาย แล้ว โจทก์ก็ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องทุกข์ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวฯ ต้องเป็นการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ การให้การพยานในคดีอื่นไม่ถือเป็นการร้องทุกข์
ป. ให้การเป็นพยานในเรื่องที่จำเลยถูกหาว่าฆ่าคนตายคำให้การพาดพิงถึงการที่ ป. ถูกจำเลยจับไปกักขังไว้ด้วย จะถือว่าเป็นการร้องทุกข์ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายด้วยโดยปริยายหาได้ไม่ เมื่อไม่มีการร้องทุกข์ของผู้เสียหายแล้วโจทก์ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306-307/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารต่างประเทศเป็นหลักฐานได้, ความผิดอันยอมความได้ไม่ต้องบรรยายร้องทุกข์, การร่วมกระทำผิดทางอาญา
อ้างต้นฉบับเอกสารภาษาต่างประเทศที่บุคคลภายนอกทำขึ้นทั้งฉบับ แต่เอกสารนั้นยืดยาว จึงแปลเป็นไทยเฉพาะส่วนที่ผู้อ้างต้องการก็รับฟังเป็นหลักฐานได้ ไม่จำต้องแปลทั้งฉบับเพราะหากอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่ามีข้อความอื่นในเอกสารเป็นประโยชน์แก่ตน ย่อมแสดงข้อความนั้นต่อศาลได้
ความผิดอันยอมความได้นั้น โจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องมาด้วยว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 มิได้บัญญัติให้ต้องบรรยายมาด้วย เมื่อศาลพอใจฟ้องสั่งรับฟ้อง และโจทก์นำสืบว่ามีการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ลงโทษจำเลยได้
ความผิดอันยอมความได้นั้น โจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องมาด้วยว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 มิได้บัญญัติให้ต้องบรรยายมาด้วย เมื่อศาลพอใจฟ้องสั่งรับฟ้อง และโจทก์นำสืบว่ามีการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ลงโทษจำเลยได้