คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เข้าใจผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2471

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพยายามฆ่าจากความเข้าใจผิดเรื่องรูปร่างคล้ายกัน
เหตุพยาบาทมาดหมาย พลั้งพลาด เพราะรูปร่างคล้ายกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2471

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยเข้าใจผิดว่าเป็นผีปอบ: ความผิดตาม ม.249
ฆ่าคนโดยเข้าใจว่าเปนผีปอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192/2471

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไม่เจตนา: ความเข้าใจผิดเรื่องการลักไก่ ลดหย่อนโทษ
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาใช้ขวานตีเขาตายเคยสงสัยว่าเปนคนร้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10798/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดสิทธิทางการค้าจากเครื่องหมายการค้าและภาพลักษณ์สินค้าที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด
โจทก์ทั้งสองประกอบกิจการค้าขายสินค้ากระดาษโดยโจทก์ที่ 1 ถือหุ้นในบริษัทโจทก์ที่ 2 ถึงร้อยละ 98.39 และต่างเป็นบริษัทในเครือ ป. โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาให้โจทก์ที่ 2 ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ดังนี้หากจำเลยทั้งสามใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำการจำหน่ายสินค้ากระดาษโดยใช้ข้อความและรูปภาพต่าง ๆ คล้ายของโจทก์ทั้งสองข้างต้นจนทำให้ประชาชนหรือผู้บริโภคเข้าใจผิดและหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของโจทก์ที่ 2 และทำให้โจทก์ที่ 2 เสียหาย โจทก์ที่ 2 รวมทั้งโจทก์ที่ 1 ย่อมได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน ดังนี้ย่อมถือว่าโจทก์ทั้งสองถูกโต้แย้งสิทธิโดยจำเลยทั้งสาม โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อเท็จจริงปรากฏตามห่อสินค้ากระดาษของฝ่ายโจทก์และของจำเลยที่ 1 ด้านหน้าห่อสินค้าของทั้งสองฝ่ายนั้น ของฝ่ายโจทก์ด้านบนมีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ใช้คำว่า "idea" สีแดง และคำว่า "GREEN" สีเขียว ของจำเลยที่ 1ใช้ข้อความในตำแหน่งเดียวกันว่า "เป็ดกระดาษ กระดาษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" โดยใช้คำว่า "เป็ดกระดาษ" สีแดง และคำว่า "กระดาษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" สีเขียว เป็นทำนองเดียวกันกับของฝ่ายโจทก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรโรมันตัว "i" ของโจทก์ที่ 1 ใช้เป็นอักษรประดิษฐ์ ขณะที่ห่อสินค้าของจำเลยที่ 1 ตัวอักษรตัวแรกเป็นสระในอักษรไทย "เ" แต่จำเลยที่ 1 กลับทำให้เหมือนของฝ่ายโจทก์ นอกจากนี้ในส่วนกลางของห่อสินค้าด้านหน้าของจำเลยที่ 1 ยังปรากฏรูปเป็ดกระดาษที่ยืนอยู่หน้าเครื่องพิมพ์เอกสาร ซึ่งคล้ายกันมากกับรูปเป็ดกระดาษที่ยืนอยู่หน้าเครื่องพิมพ์เอกสารอันเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์โฆษณาสินค้ากระดาษของฝ่ายโจทก์ ซึ่งฝ่ายโจทก์โฆษณาภาพยนตร์ดังกล่าวทางโทรทัศน์และจัดรายการส่งเสริมการขายโดยใช้ภาพตามภาพยนตร์ดังกล่าวมาแล้วหลายครั้งก่อนที่จำเลยที่ 1 จะวางจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 โดยใช้ห่อสินค้าดังกล่าว จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่เห็นภาพยนตร์โฆษณาของฝ่ายโจทก์ และต่อมาเมื่อเห็นรูปเป็ดกระดาษที่ยืนอยู่หน้าเครื่องพิมพ์เอกสาร ที่ห่อสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมอาจเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าของฝ่ายโจทก์ดังที่เห็นในภาพยนตร์โฆษณาของฝ่ายโจทก์ ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ใช้คำว่า "เป็ดกระดาษ" ด้วยอักษรสีแดงขนาดใหญ่ที่ส่วนบนของด้านหน้าห่อสินค้าก็อาจทำให้ผู้ที่เห็นโฆษณาทางโทรทัศน์ของฝ่ายโจทก์มาก่อนเข้าใจผิดว่าสินค้ากระดาษที่ใช้ห่อสินค้าดังกล่าวคือสินค้าของฝ่ายโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจใช้ข้อความและรูปต่าง ๆ หลายข้อความหลายรูปและจัดองค์ประกอบภาพในส่วนต่าง ๆ คล้ายกับของฝ่ายโจทก์อันเป็นการกระทำซึ่งมีแต่จะทำให้ประชาชนหรือผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้ากระดาษเข้าใจผิดและหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นสินค้าของฝ่ายโจทก์ จึงมีเหตุผลให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจใช้ข้อความและรูปภาพต่าง ๆ ที่ห่อสินค้ากระดาษเพื่อให้ประชาชนหรือผู้บริโภคเข้าใจผิด โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายแก่ฝ่ายโจทก์ และไม่รับผิดชอบต่อประชาชนหรือผู้บริโภคที่อาจเข้าใจผิดและหลงเชื่อ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยไม่สุจริต ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายโจทก์ อันเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 แล้ว
จำเลยทั้งสามเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน มีบริษัท อ. ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ของประเทศเป็นบริษัทใหญ่ของกลุ่ม จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมรับรู้และมีส่วนร่วมกับการกระทำของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสินค้ากระดาษ "เป็ดกระดาษ กระดาษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย และจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ผู้ผลิต จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำระหว่างจำเลยทั้งสาม ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองแล้ว จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ทั้งสองส่วนที่จำเลยทั้งสามนำสืบถึงสัญญาตัวแทนจำหน่ายสินค้าระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 และสัญญาจ้างผลิตกระดาษระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ซึ่งมีข้อตกลงทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ผู้ว่าจ้างจะต้องรับผิดต่อการละเมิดสิทธิใด ๆ ต่อบุคคลภายนอกโดยให้ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ละเมิด และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือรับรู้ถึงการละเมิดดังกล่าวนั้น ไม่มีน้ำหนักและไม่อาจนำมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5729/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าต้องรู้ว่าผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ การเข้าใจผิดว่าตายแล้วไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นั้น จำเลยที่ 1 ต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก คือ (1) ผู้ใด (2) ฆ่า (3) ผู้อื่น กล่าวคือ รู้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการฆ่า และรู้ด้วยว่า วัตถุแห่งการกระทำคือผู้อื่นนั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งปัญหาว่าจำเลยที่ 1 รู้หรือไม่ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วนั้น โจทก์ไม่ได้ฎีกา และฎีกาโจทก์รับว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยที่ 1 พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายจนหมดสติแล้วนำไปทิ้งที่อ่างเก็บน้ำโดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 มิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดว่าผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย จะถือว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงขาดองค์ประกอบความผิดตามความใน ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14297/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ชื่อตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลที่เปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นเจตนาจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจผิด
การที่จำเลยซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลตามกฎหมายเดิม ซึ่งต่อมาเมื่อมีการแก้ไขโดย พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 อันเป็นเวลาที่จำเลยได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ได้เทียบตำแหน่งกรรมการบริหารเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตามกฎหมายใหม่ ดังนั้น การที่จำเลยปิดประกาศโฆษณาว่าเคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลอันเป็นความเชื่อของจำเลยโดยสุจริตว่าตำแหน่งเทียบเท่ากันได้ และจำเลยมีสิทธิจะใช้ชื่อตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ และการที่จำเลยได้รับการเลือกตั้งโดยมีคะแนนรวมเป็นอันดับที่ 1 น่าจะเกิดจากผลงาน ชื่อเสียงในการทำงานทางการเมืองในครั้งก่อน ๆ เชื่อว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำการอันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในเรื่องประสบการณ์การทำงานของจำเลยแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9941/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาสุจริตในการฟ้องคดีอาญาและการเบิกความต่อศาล เมื่อเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง
ตามพฤติการณ์ทั้งโจทก์ ศ. และ น. ต่างมีความประสงค์ที่จะหาเงินเพื่อมาลงทุนค้าขาย เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยเป็นผู้ให้กู้ยืมเงิน การที่มีการผิดนัดชำระหนี้ในเวลาต่อมาไม่ว่าด้วยประการใดๆ ย่อมทำให้จำเลยในฐานะผู้ให้กู้ยืมเงินย่อมต้องเข้าใจว่าการที่ ศ. สั่งจ่ายเช็คซึ่งบัญชีปิดแล้วและลายมือชื่อไม่ตรงตามตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคารเป็นผลทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ ซึ่งเท่ากับมีผลทำให้จำเลยไม่ได้รับชำระหนี้เงินกู้ยืมจากโจทก์นั่นเอง บุคคลในสถานะเช่นจำเลยย่อมต้องเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อกู้ยืมเงินต้องมีส่วนรู้เห็นกับ ศ. ออกเช็คชำระหนี้ให้แก่จำเลย โดยมิพักต้องคำนึงว่าตัวโจทก์จะอยู่รู้เห็นในขณะที่ ศ. ออกเช็คนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อ ศ. เป็นผู้ที่ติดต่อให้โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเพื่อประโยชน์ของ น. บุตรโจทก์ที่จะหาเงินร่วมลงทุนค้าขายกับ ศ. และเช็คนั้นก็เป็นเช็คที่สั่งจ่ายตามจำนวนเท่ากับที่โจทก์กู้ยืม และลงวันที่เดียวกับวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องชำระหนี้เงินกู้ยืมคืนให้แก่จำเลยเช่นนี้ เช็คฉบับดังกล่าวจึงเป็นเช็คที่ ศ. ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินของโจทก์ในอันที่จะได้เงินจากจำเลยไปมอบให้แก่ น. เพื่อร่วมลงทุนค้าขายกับ ศ. เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทำให้จำเลยไม่ได้รับเงินที่ให้กู้ยืมคืน การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์รู้เห็นกับ ศ. ในการสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ต้องเข้าใจเช่นนั้น ฉะนั้น การที่จำเลยฟ้องคดีอาญาต่อโจทก์และ ศ. กล่าวหาโจทก์และ ศ. ร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์และ ศ. ร่วมกันหลอกลวงเอาเงิน 1,100,000 บาท ไปจากจำเลยแล้วไม่คืนให้ตามที่ตกลงกันโดยจำเลยเชื่อว่าตนมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องคดีอาญาได้ การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ เมื่อจำเลยไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จแล้ว การที่จำเลยเบิกความไปตามที่ฟ้องนั้นจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการเบิกเงินเดือนล่วงหน้า หากเข้าใจผิดว่าได้รับอนุมัติ ย่อมไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า ป. ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทโจทก์ร่วมอนุมัติให้จำเลยเบิกเงินเดือนของจำเลยล่วงหน้าได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ขออนุมัติจาก ป. ก่อนตามระเบียบการเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของพนักงาน ก็ไม่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปโดยมีเจตนาทุจริต จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: ศาลมีอำนาจพิจารณายกฟ้องได้แม้โจทก์เสนอคำฟ้องโดยเข้าใจผิดเรื่องภูมิลำเนาของจำเลย
โจทก์เสนอคำฟ้องโดยระบุว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจว่าโจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) ประกอบมาตรา 5 แม้ต่อมาโจทก์จะขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 3 โดยภูมิลำเนาที่ขอแก้ไขใหม่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นก็ตาม ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าขณะโจทก์เสนอคำฟ้องนั้นจำเลยที่ 3 มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 อาจเปลี่ยนภูมิลำเนาภายหลังที่โจทก์เสนอคำฟ้องแล้วก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคดีก็ยังคงอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ปรากฏแน่ชัด จะอ้างว่าเป็นความบกพร่องของศาลชั้นต้นที่ไม่สั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องและไม่จำหน่ายคดีหาได้ไม่ นอกจากนี้ เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นคำให้การก็ได้ยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตอำนาจศาลที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยโดยรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ เมื่อรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นขณะโจทก์เสนอคำฟ้อง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียได้โดยไม่ต้องคำนึ่งว่าโจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นโดยสุจริตหรือไม่ เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) และมาตรา 5 มิได้บัญญัติเปิดช่องให้ศาลที่รับคำฟ้องพิจารณาถึงความสุจริตของผู้เสนอคำฟ้อง หากเป็นกรณีที่โจทก์เสนอคำฟ้องผิดเขตอำนาจศาล การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องจึงหาเป็นการไม่ชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3412/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความทำให้สิทธิฟ้องอาญาคดีทำให้เสียทรัพย์ระงับ และการยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์จากการเข้าใจผิด
โจทก์ร่วมกับจำเลยทำบันทึกกันไว้ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานซึ่งมีข้อความว่า คู่กรณีตกลงกันแล้วต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเรียกร้องฟ้องกันทั้งทางแพ่งและอาญาต่อกัน โดยจำเลยได้ช่วยเหลือค่าเสียหายของกระบือที่ถูกยิงตายให้โจทก์ร่วมเป็นเงิน 7,000 บาท จะนำเงินมาจ่ายให้หมดในวันที่ 1 ตุลาคม 2544 แล้วลงชื่อโจทก์ร่วมและจำเลย เช่นนี้ จึงเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 358, 359 เป็นความผิดอันยอมความได้ จึงมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) แม้ต่อมาจำเลยจะไม่ชำระค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ร่วมก็ไม่มีสิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ หลังจากมีการยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วอีกได้ คงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
of 13