พบผลลัพธ์ทั้งหมด 771 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการป้องกันตัว: ศาลไม่รับฟังคำเบิกความขัดแย้งเรื่องการถูกทำร้ายก่อน
จำเลยและพยานจำเลยคือ ว.ภรรยาจำเลยร. น้องภรรยาจำเลยและ ด. ต่างเบิกความขัดแย้งกันในเรื่องของคำด่า และพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายใช้ขวดตีจำเลยอันเป็นสาระสำคัญตามข้ออ้างของจำเลยโดยจำเลยเบิกความว่าผู้เสียหายด่า ว่า "เย็ดแม่หมาเย็ดแม่"แล้วเดิน เข้ามาคว้าขวดสุราบนโต๊ะ ตีจำเลย ว.และด. เบิกความทำนองเดียวกันว่า ผู้เสียหายด่า "เย็ดแม่มึงหมาไม่มีเขี้ยว"พร้อมกับคว้าขวดโซดาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตีจำเลยร. เบิกความว่าผู้เสียหายด่า "เย็ดแม่หมาเย็ดแม่หมาคาบลูกไปแดก" จำเลยเดิน เข้าไปหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลบเข้าไปหยิบขวดโซดา ข้างโต๊ะ ตีจำเลยกรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายด่า จำเลย และใช้ขวดจะตีทำร้ายจำเลยก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาปล้นทรัพย์ ไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า การกระทำยิงเป็นการกระทำส่วนตัวของผู้กระทำ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกเพียงแต่มีเจตนาจะมาปล้นทรัพย์เท่านั้นแม้จำเลยที่ 2 จะทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยที่ 1 จะต้องใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเสมอไป เมื่อจำเลยที่ 2 ยืนอยู่เฉย ๆ มิได้แสดงอาการใดให้ปรากฏว่าจะให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายมิได้ขัดขืน จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เองตามลำพังและโดยฉับพลันในขณะนั้นเอง แม้หลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 วิ่งหนีไปกับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ร่วมกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วมกัน, ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย, ความผิดฐานพาอาวุธปืน, การรับฟังคำให้การที่ขัดแย้ง
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองกับพวก ทั้งก่อนยิงผู้ตายและหลังยิงผู้ตาย ประกอบกับข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกได้เรียกค่าคุ้มครองการทำไม้จากผู้ตายแต่ผู้ตายไม่ยอมให้ เชื่อ ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้มีการสมคบกันที่จะฆ่าผู้ตาย และอีกประการหนึ่งถ้า หากจำเลยทั้งสองไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการที่พวกของจำเลยยิงผู้ตายจริงแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองเห็นพวกของตนใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งทางราชการมอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ยิงผู้ตายเช่นนั้น จำเลยทั้งสองก็น่าจะรีบแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกอาสาสมัครรักษาดินแดน และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด ก็ยิ่ง จะต้องแจ้งเหตุต่อพนักงานสอบสวนโดยเร็วแต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้แจ้งเหตุแต่กลับนำอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายไปทำความสะอาดลำกล้องเพื่อทำลายพยานหลักฐานเช่นนี้จึงเชื่อ ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกของจำเลยฆ่าผู้ตายจริงตามโจทก์ฟ้อง แม้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางจะเป็นของทางราชการที่มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 และพวกของจำเลยนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้ตาย ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้ร่วมครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวด้วยอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีไว้ในความครอบครองโดยไม่มีสิทธิที่จะครอบครองได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ก็ย่อมมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครอง จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับพวกและจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวและเป็นผู้มีสิทธิที่จะพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะได้เช่นนี้จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะนั้น ความผิดฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปีโดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1และพวกที่จะนำอาวุธดังกล่าวไปฆ่าผู้ตาย จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วมกัน: การดื่มสุรา, สมคบกัน, และการร่วมกันลงมือกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมดื่มสุรากันที่ร้านค้าแล้วพากันนั่งรถจักรยานยนต์ไปยังที่เกิดเหตุ พบผู้ตายกำลังนั่งจดบัญชีรายการไม้อยู่ จำเลยที่ 1 หยุดรถ พวกของจำเลยลงจากรถใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วทุกคนพากันนั่งรถจักรยานยนต์กลับไปที่ฐานปฏิบัติการอาสาสมัครรักษาดินแดนที่จำเลยที่ 1เป็นสมาชิกอยู่ หลังจากนั้นพากันไปดื่มสุรากันอีก และได้นอนค้างคืนที่บ้านพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับฐานปฏิบัติการดังกล่าว เช้าวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 กับพวกได้แยกย้ายกันกลับไปพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของทางราชการที่มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ แม้จำเลยที่ 1จะไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองก็ตามเมื่อจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และพวกครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้นำไปใช้ฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6287/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ท่อนไม้กว้าง 7 เซนติเมตร ยาว 1 เมตรเศษ ตีโจทก์ร่วมที่ศีรษะจากทางด้านหลังจนโจทก์ร่วมล้มสลบไป แสดงว่าตีโดยแรงและเลือกตีส่วนสำคัญของร่างกาย หากไม่ได้รับการผ่าตัดสมองอาจถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าความตายอาจเกิดจากการกระทำของตน เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6263/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า พิจารณาจากลักษณะการกระทำ การแทงด้วยอาวุธในส่วนสำคัญของร่างกายบ่งชี้เจตนา
การที่จะพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ต้องดูลักษณะของการกระทำที่จำเลยได้กระทำไปแล้วเป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ แทงผู้เสียหายที่ด้านหลังในขณะที่ผู้เสียหายล้มลง ผู้เสียหายมีเลือดในโพรงปอดด้านขวาประมาณ600ซี.ซี. หากแพทย์รักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ เป็นการแทงผู้เสียหายโดยแรงในส่วนสำคัญของร่างกายในสภาพที่จำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ และปรากฏว่าจำเลยจะแทงผู้เสียหายอีก แต่มีผู้ร้องห้าม จำเลยจึงไม่แทง แสดงว่าก่อนมีผู้ร้องห้ามจำเลยมีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าแยกกรรม: การยิงผู้ตายหลายราย
ขณะที่จำเลยยิงผู้ตายทั้งสอง ผู้ตายทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องนอน จำเลยยิงนาย ล.ก่อนแล้วจึงยิงนาง น. จำเลยยอมรับว่าจำเลยยิงนาย ล. 2 นัด แล้วจึงยิงนาง น.1 นัด แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใดจำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสองในขณะจำเลยลงมือกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ ความต้องการให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่องกับการลงมือกระทำความผิดก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิด การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าแยกกันได้: การพิจารณาความผิดฐานฆ่าเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ล. 2 นัดและยิง น. 1 นัด เป็นเหตุให้ล. และ น. ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยยิงในเวลาต่อเนื่องกันแสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใด จำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสองในขณะกระทำความผิด จึงแยกออกจากกันได้การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าแยกจากกัน ความผิดฐานฆ่าเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
ขณะที่จำเลยยิงผู้ตายทั้งสอง ผู้ตายทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องนอน จำเลยยิงนายล.ก่อนแล้วจึงยิงนาง น. จำเลยยอมรับว่าจำเลยยิงนาย ล. 2 นัด แล้วจึงยิงนางน. 1 นัด แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใดจำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสองในขณะจำเลยลงมือกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ ความต้องการให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กันและต่อเนื่องกับการลงมือกระทำความผิดก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิด การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงใกล้ระยะ แม้อ้างยิงขู่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว หากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่นยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น.