พบผลลัพธ์ทั้งหมด 275 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์รวมภายหลัง ผู้รับโอนยังยกข้อต่อสู้ได้
ที่ดินที่มีบุคคลหลายคนเป็นเจ้าของร่วมกัน มีผู้ครอบครองปรปักษ์ ที่ดินบางส่วนจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มา การที่เจ้าของรวมคนอื่นโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาเป็นของเจ้าของรวมคนหนึ่งเพียงคนเดียว ไม่ถือว่าเจ้าของรวมผู้รับโอนนั้นเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคสองผู้ครอบครองปรปักษ์ยกเอาการได้มาขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจัดการมรดกสงวนสำหรับทายาท ผู้มีส่วนในทรัพย์มรดกฐานเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้
ที่ดินทรัพย์มรดกแปลงหนึ่งผู้คัดค้านมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเคยอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้ตายนั้น ก็มีแต่คำเบิกความลอย ๆ ของผู้คัดค้านเท่านั้น ผู้ร้องเองก็เบิกความว่าผู้คัดค้านไม่เคยมาอยู่กับผู้ตายและไม่เคยมาพักที่บ้านผู้ตายเลย จึงเป็นการยากที่จะรับฟังว่า ผู้คัดค้านมีความผูกพันกับผู้ตายถึงขั้นสมควรจะเข้าไปร่วมดูแลจัดการทรัพย์มรดกผู้ตาย อีกทั้งได้ความจากคำเบิกความของผู้คัดค้านว่า ที่ผู้คัดค้านต้องการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้นก็เพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีส่วนร่วมอยู่ด้วยเกิดความเสียหายจากการจัดการมรดกของฝ่ายผู้ร้อง อันเป็นเจตนาที่มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน หาใช่กระทำเพื่อความชอบธรรมและประโยชน์ของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายโดยตรงไม่ กรณีเช่นนี้ถ้าผู้คัดค้านซึ่งมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายมีส่วนในทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะเจ้าของรวมอย่างไรก็ชอบจะเรียกร้องเอาได้โดยไม่จำต้องมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอยู่แล้ว จึงให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร่วมในที่ดินพิพาทจากการขายฝากโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวม และอำนาจฟ้องขับไล่
คดีที่ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ใหม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 การที่ ช. ขายฝากที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์เป็นการจำหน่ายตัวทรัพย์สินนั้น โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยเจ้าของรวมสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทที่ ช. ทำกับโจทก์จึงผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ช. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361วรรคแรกและวรรคสอง การที่ ช. ขายฝากที่ดินพิพาทในส่วนของตนให้แก่โจทก์โจทก์กับจำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันในที่ดินพิพาททุกส่วน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1426/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า: ต้องมีส่วนร่วมในการทำมาหาได้จึงมีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาได้ช่วยกันประกอบอาชีพทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มทวีขึ้นซึ่งโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน โจทก์จำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยโจทก์มีสิทธิขอแบ่งจากจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีส่วนร่วมในการทำมาหาได้ในทรัพย์สินร่วมกับจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิแบ่งทรัพย์สินนั้นจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายืนฟ้องไม่ซ้ำคดีก่อน แม้กรรมสิทธิ์เดิมเป็นของเจ้าของรวม
คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์และจำเลยในคดีนั้นมีสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท โดยไม่ได้วินิจฉัยหรือพิพากษาให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้เป็นส่วนสัดแยกจากกัน แต่คดีนี้โจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทฟ้องขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้เป็นส่วนสัดแยกจากกัน คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นแห่งคดีและคำขอบังคับแตกต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกาว่าพยานหลักฐานของตนฟังได้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์โจทก์ทั้งสองจึงขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมลักทรัพย์จากเจ้าของรวมอื่น ต้องพิสูจน์ว่ามิได้ครอบครองทรัพย์ขณะลัก
เจ้าของรวมจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ไปจากเจ้าของรวมคนอื่นจะต้องได้ความว่าเจ้าของรวมผู้ลักมิได้ครอบครองทรัพย์อยู่ การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ป. หุ้นส่วนกับชาวมาเลเซีย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองหอยแครงร่วมอยู่ด้วยใช้บุคคลอื่นไปตักหอยแครง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนเอง ไม่มีความผิดฐานใช้บุคคลอื่นลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมมีสิทธิแบ่งทรัพย์สินร่วม แม้มีวัตถุประสงค์ให้ครอบครองร่วมกัน และการครอบครองปรปักษ์ต้องมีการบอกกล่าว
เจ้าของที่ดินยกที่ดินให้แก่บุตรทั้งหกถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยไม่มีวัตถุประสงค์จะให้เป็นเจ้าของรวมกันมีลักษณะเป็นการถาวรอันจะแบ่งแยกกันไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1363 วรรคแรก โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของเจ้าของรวมคนหนึ่งจึงมีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงพิพาทได้ ที่ดินพิพาทใส่ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมทุกคนไว้โดยไม่ได้มีการตกลงแบ่งแยกกันเป็นสัดส่วนในระหว่างเจ้าของรวม การถือครองที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมเป็นการครอบครองแทนเจ้าของรวมคนอื่นที่มิได้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 จะอ้างการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้จนกว่าจะได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 เสียก่อน เมื่อไม่ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแก่เจ้าของรวมคนอื่นว่าจะยึดถือครอบครองเป็นของตนจำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครอง โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่แบ่งส่วนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทให้โจทก์ ปัญหามีเพียงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้แบ่งส่วนของตนได้หรือไม่ ข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองบ้านและโรงรถอยู่จะได้ภารจำยอมในที่ดินพิพาทส่วนที่ปลูกสร้างนั้นหรือไม่ ไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี เพราะว่าภารจำยอมไม่ถูกกระทบกระเทือนจากการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1393,1394
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของเจ้าของรวม (แม้เป็นพระภิกษุ) ในการเรียกร้องแบ่งทรัพย์สินร่วม
โจทก์ฟ้องว่าหลังจาก ห. ตาย โจทก์และ ล. ได้รับมรดกที่พิพาทและร่วมกันครอบครองโดยมิได้แบ่งแยก ต่อมาโจทก์ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และ ล. ตาย จำเลยซึ่งเป็นบุตรของ ล. ไปขอออกน.ส. 3 ก. เป็นของตนฝ่ายเดียว ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งที่ พิพาทให้ เป็นกรณีโจทก์ฟ้องในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของรวมมิใช่ ในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมเรียกร้องเอาทรัพย์มรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1622เพราะเมื่อ ห. ตาย โจทก์ และ ล. ได้รับมรดก มาแล้ว ที่พิพาทจึงมิใช่มรดกของ ห.อีกต่อไป แต่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของโจทก์และ ล.เมื่อจำเลยไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ในกรณีเช่นนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุก็ไม่มีกฎหมายห้ามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของเจ้าของรวมแม้เป็นพระภิกษุ: คดีทรัพย์สินร่วมหลังมรดก
เจ้ามรดกตาย โจทก์และ ล. บุตรเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาแล้วร่วมกันครอบครองโดยมิได้แบ่งแยกจึงมิใช่มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไป แต่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของโจทก์และ ล. เมื่อ ล. ตายส่วนของ ล. ตกแก่จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นบุตร ล. โจทก์ขอแบ่งส่วนของตน จำเลยทั้งห้าไม่ยอม จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าของรวม มิใช่ในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมเนียม เรียกร้องเอาทรัพย์มรดก แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุก็ฟ้องจำเลยทั้งห้าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแบ่งทรัพย์สินร่วม: แม้เป็นพระภิกษุ ก็มีสิทธิเรียกร้องในฐานะเจ้าของรวมได้
เมื่อเจ้ามรดกตาย โจทก์และ ล.บุตรเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาและร่วมกันครอบครองโดยมิได้แบ่งแยกที่ดินพิพาทจึงมิใช่มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไป แต่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของโจทก์และ ล. มารดาของจำเลยทั้งห้าเมื่อ ล.ตายส่วนของ ล. ตกแก่จำเลยทั้งห้า การที่จำเลยทั้งห้าไม่ยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของรวม จึงมีอำนาจฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทได้ แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุ ก็หามีบทกฎหมายห้ามโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าไม่