คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เหตุผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 638 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 875/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีใหม่ ต้องมีเหตุผลความผิดพลาดจากการตรวจสอบครั้งแรก และไม่ซ้ำกับปีที่เคยตรวจสอบแล้ว
ประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และมาตรา 20 บัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินที่จะดำเนินการแก้ไขการประเมินที่ผิดพลาดให้ถูกต้องได้ แต่ก็จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดให้ไว้ด้วย โดยจะต้องปรากฏว่าการตรวจสอบครั้งแรกผิดพลาดบกพร่องหรือไม่ถูกต้อง การออกหมายเรียกตรวจสอบใหม่จึงจะเป็นการออกหมายเรียกที่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2525ได้กำหนดว่าการออกหมายเรียกผู้เสียภาษีมาตรวจสอบไต่สวนในปีภาษีใดจะต้องไม่เรียกตรวจสอบซ้ำกับปีที่เคยออกหมายเรียกไปแล้ว เว้นแต่กรณีมีหลักฐานหรือข้อมูลซึ่งไม่ซ้ำกับที่เคยตรวจสอบไปก่อนแล้ว หรือกรณีมีเหตุอันสมควรอื่นดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานว่าการตรวจสอบครั้งแรกผิดพลาดบกพร่องหรือไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินจึงหามีอำนาจออกหมายเรียกโจทก์มาตรวจสอบภาษีใหม่เป็นครั้งที่ 2 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7747/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องแสดงเหตุผลความไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องของคำพิพากษาอย่างชัดเจน
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่า คำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร คงกล่าวแต่เพียงว่า ถ้ามีการสืบพยานจำเลยแล้ว จำเลยมีทางชนะคดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7747/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไร การกล่าวอ้างว่าหากสืบพยานแล้วจะชนะคดีไม่เพียงพอ
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรคงกล่าวแต่เพียงว่าถ้ามีการสืบพยานจำเลยแล้วจำเลยมีทางชนะคดีไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคสองที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7371/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นฎีกา: เหตุผลและความชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1เป็นการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคแรก ซึ่งศาลชั้นต้นต้องส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมส่งมายังศาลฎีกาพร้อมกับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาว่ามีเหตุอันควรขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นเพื่อจัดส่งคำฟ้องไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาก่อน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาให้ยื่นฎีกาแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาเป็น 45 วันแล้ว จำเลยที่ 1เข้าใจว่าคำร้องดังกล่าวมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายสิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยอย่างใด กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6924/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: เหตุผลการเลิกจ้างและการแก้คดีของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่า โจทก์ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลา ฯลฯ ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลา ฯลฯ ที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์นั้นได้ระบุเหตุของการเลิกจ้างข้อ 2 ว่า ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลา จำเลยให้การไว้ในข้อ 3 ว่า จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง กล่าวคือ โจทก์ขาดงานเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน เป็นเวลาหลายครั้ง ศ.ผู้บังคับบัญชาได้เรียกโจทก์มาตักเตือนหลายครั้งแล้ว แต่โจทก์ไม่นำพาและให้การไว้ในข้อ 4 ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536เป็นเพราะโจทก์ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา โจทก์ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลานั้น เหตุที่จำเลยให้การว่าโจทก์ขาดงานก่อนวันที่ 1 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2536 นั้นเป็นการให้การถึงที่มาว่าโจทก์เคยขาดงานมาแล้ว และผู้บังคับบัญชาได้เรียกโจทก์มาตักเตือนหลายครั้ง แต่โจทก์ไม่นำพา ดังนี้ คำให้การจำเลยอ้างเหตุโจทก์ขาดงานเกิน 3 วัน โดยไม่แจ้งลารวมอยู่ด้วยแล้วและไม่ขัดต่อเหตุเลิกจ้าง จึงก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่า โจทก์ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลา ฯลฯ ซึ่งไม่เป็นความจริงอันเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ขาดงานเกิน3 วัน โดยไม่แจ้งลา ฯลฯ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ตามคำให้การจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 แม้จำเลยจะมิได้ระบุวันเดือนปีที่อ้างว่าโจทก์ขาดงานเกิน 3 วันโดยไม่แจ้งลา แต่ก็เป็นการให้การแก้คดีที่สืบเนื่องมาจากคำฟ้องของโจทก์นั้นเอง ที่ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์หยุดงานตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2536 กับที่ศาลแรงงานหยิบยกประเด็นเรื่องใบลาเป็นลายลักษณ์อักษรมาเป็นข้อวินิจฉัยว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จึงไม่เป็นข้อวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6314/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัดและคัดค้านคำตัดสินอย่างชัดเจน หากมิได้ระบุครบถ้วน ศาลไม่รับพิจารณา
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสองนั้น จะต้องกล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดชัดแจ้งทั้งสองประการ แต่คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยกล่าวแต่เพียงเหตุที่จำเลยขาดนัด ไม่ได้กล่าวคัดค้านถึงเนื้อหาแห่งคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรบ้าง แม้จำเลยจะอ้างว่า โจทก์มิได้นำ อ. กรรมการของโจทก์ที่มีอำนาจทำนิติกรรมใด ๆ แทนโจทก์มาเบิกความ คงมีแต่ บ. ผู้ช่วยผู้จัดการด้านสินเชื่อซึ่งมิใช่พนักงานบัญชีเพียงผู้เดียวมาเบิกความ ทั้งมิได้นำเจ้าหน้าที่มาเบิกความรับรองถึงความถูกต้องแท้จริงของหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯ จึงฟังไม่ได้ว่า อ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และเป็นผู้แต่งตั้งทนายความดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีนี้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ก็หาใช่เป็นการคัดค้านในเนื้อหาแห่งคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นอันจะทำให้จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายชนะคดีหากมีการพิจารณาใหม่ไม่ คำขอของจำเลยจึงไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง ที่จะให้มีการพิจารณาคดีใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5700/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีเนื่องจากทนายโจทก์ป่วย: ศาลรับฟังเหตุผลและอำนาจการไต่สวน/ตรวจสอบของศาล
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่น อ้างว่าทนายโจทก์ป่วยกะทันหันไม่สามารถมาว่าความได้โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดง ซึ่งตามใบรับรองแพทย์ระบุว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัดเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ อ่อนเพลีย อันเป็นการอ้างเหตุขอเลื่อนคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 41 หากข้ออ้างดังกล่าวเป็นความจริงก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นและมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีตามมาตรา 40 จำเลยแถลงคัดค้านแต่เพียงว่าศาลได้กำชับไว้ในครั้งก่อนแล้ว มิได้คัดค้านว่าคำร้องของทนายโจทก์ที่อ้างว่าป่วยเจ็บไม่เป็นความจริง จึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงตามที่อ้างมาในคำร้องและใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้หากศาลมีความสงสัยว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ศาลก็มีอำนาจไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 21 (4)หรือจะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปตรวจดูว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ก็ได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว ย่อมแสดงว่าศาลชั้นต้นมิได้สงสัยในเรื่องที่ทนายโจทก์อ้างว่าป่วยเจ็บ จึงรับฟังได้ว่าทนายโจทก์ไม่สามารถมาศาลได้อันเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นสมควรให้เลื่อนคดีตามคำร้อง
คดีนี้จำเลยฎีกาเฉพาะเรื่องที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเท่านั้น จึงควรเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการนั้นเป็นคำขอที่เกินเลยไปจากคำฟ้องฎีกาที่ฎีกาคัดค้านเฉพาะเรื่องการเลื่อนคดี และเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่าผู้ใดควรชนะคดี จำเลยก็ไม่อาจฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้ จำเลยจึงหาต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุผลชัดเจน หากอ้างเพียงสัญญาเช่ายังไม่หมดอายุโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน ศาลไม่รับพิจารณา
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า สัญญาเช่ายังไม่ครบอายุ ยังมีอายุสัญญาเช่าอีก 9 ปี โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนว่าเหตุใดจำเลยจึงยังคงมีสิทธิอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่ามีผลบังคับตามกฎหมายได้เพียง 3 ปี ซึ่งครบกำหนดไปแล้ว และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว คำร้องขอของจำเลยจึงมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลโต้แย้งคำตัดสินเดิมอย่างชัดเจน การอ้างเพียงสัญญาไม่ครบอายุโดยไม่มีหลักฐานไม่พอ
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่าสัญญาเช่ายังไม่ครบอายุ ยังมีอายุสัญญาเช่าอีก 9 ปี โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนว่าเหตุใดจำเลยจึงยังคงมีสิทธิอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่ามีผลบังคับตามกฎหมายได้เพียง 3 ปี ซึ่งครบกำหนดไปแล้ว และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว คำร้องขอของจำเลยจึงมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์: เหตุผลด้านการเงินและการเตรียมอุทธรณ์ไม่เพียงพอ
จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีและนำพยานมาสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์มาแต่ต้น พยานหลักฐานของโจทก์มีอยู่อย่างไรจำเลยย่อมทราบดี ระยะเวลาที่จะทำคำฟ้องอุทธรณ์มายื่นต่อศาลก็มีถึง 1 เดือน หากจำเลยขวนขวายที่จะยื่นอุทธรณ์ในกำหนดเวลาดังกล่าวก็สามารถกระทำได้ แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่สามารถจะหาเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางศาลได้ทันนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวมิใช่เหตุที่จะนำมาอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ เพราะถ้าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว จำเลยก็ยังสามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินดังกล่าวต่อศาลได้ด้วย เช่นนี้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
of 64