คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไม่รับวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 356 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7237/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งที่ดินกรรมสิทธิ์รวม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยสิทธิของโจทก์ร่วมที่ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งเรียกเข้าเป็นโจทก์ร่วม
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินกรรมสิทธิ์รวมให้เฉพาะโจทก์และยื่นคำร้องขอให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ร่วมเมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้โจทก์ร่วมจึงเป็นบุคคลนอกคดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ที่ขอให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ร่วมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7097/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทไม่เกินสองแสนบาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง
การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ และจำเลยบุกรุกเข้าไปตัดฟันต้นกล้วยในที่ดินของโจทก์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทในขณะฟ้องราคาไร่ละ 100,000 บาท ดังนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดกับคำพิพากษาศาลล่างในคดีอาญา
จำเลยฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยยิงปืนในหมู่บ้านและทางสาธารณะในเวลากลางคืน ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 เพราะไม่ได้ความว่าปืนที่ใช้ยิงนั้นเป็นปืนซึ่งใช้ดินระเบิดด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376ถือว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงโดยปริยายแล้วว่าจำเลยยิงปืนที่ใช้ดินระเบิด ดังนี้ ฎีกาจำเลยจึงประสงค์จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยยิงปืนซึ่งไม่ได้ใช้ดินระเบิด อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยเป็นยุติ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6137/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม – ฎีกาไม่ยกข้อเท็จจริง/กฎหมายใหม่ – ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ทั้งสองจะต้องเสียดอกเบี้ยให้จำเลยอย่างไรในต้นเงินจำนวนเท่าไร เริ่มตั้งแต่เมื่อใด ถึงเมื่อใด และคิดเป็นเงินเท่าไร คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไรคงคัดลอกข้อความในอุทธรณ์แทบทุกถ้อยคำเกี่ยวกับอุทธรณ์ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาไว้ในฎีกาเท่านั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5989/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงนอกสำนวนในชั้นฎีกา: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า จำเลยขาดเจตนาทางอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาดังกล่าวตามป.วิ.อ.มาตรา 46 นั้น จำเลยเพิ่งจะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาโดยแนบเป็นเอกสารท้ายฎีกา ซึ่งโจทก์แก้ฎีกาคัดค้านจึงเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5649/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ข้อเท็จจริงใหม่ & ประเด็นที่ไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อาคารพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่แม้โจทก์จะอ้างว่าให้เช่าได้เดือนละ 25,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าแม้อาคารพิพาทจะอยู่ในทำเลการค้าแต่ก็เป็นอาคารที่ก่อสร้างมานาน จึงกำหนดค่าเสียหายให้เพียงเดือนละ 10,000 บาทโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงถือได้ว่าอาคารพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248วรรคสอง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและอาคารพิพาทให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินและอาคารพิพาทค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท สูงเกินไปเพราะเป็นตึกเก่าอย่างมากคิดได้เดือนละ5,000 บาท จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในอาคารพิพาทเพราะมีสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาซึ่งพอแปลได้ว่าโจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนั้น ในประเด็นดังกล่าวจำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาตามคำฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งคำฟ้องแย้งของจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ประเด็นอำนาจฟ้องให้ชัดแจ้งได้นั้นก็เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ปรากฏจากคำฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทตั้งอยู่ที่ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ-มหานคร จำเลยเช่าอาคารพิพาทเลขที่ 424 จากเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมโดยไม่มีสัญญาเช่าและกำหนดเวลาเช่า จำเลยยื่นคำให้การว่าเช่าที่ดินพิพาทอยู่จริงและมีสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดามีกำหนดระยะเวลา 30 ปีโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาทมาจึงต้องรับสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องให้จำเลยเช่าอยู่ในอาคารจนครบกำหนดเวลาดังกล่าว แสดงว่าจำเลยเข้าใจดีว่าอาคารพิพาทตั้งอยู่ส่วนใดของที่ดินพิพาทและสามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้แล้วตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172วรรค 2 ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5621/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความครอบครองปรปักษ์ในที่ดินป่าสงวน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ที่พิพาทจะเป็นป่าสงวนแห่งชาติแต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมใช้ยันกันได้ หากฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีผู้ใดใช้ประโยชน์บนที่ดิน การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีภายหลังจากที่จำเลยซื้อสิทธิในที่พิพาทจาก ป. รวมเวลาที่ ป.และจำเลยครอบครองเกินกว่าหนึ่งปี คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง เป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหน อย่างไร เป็นฎีกาที่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาขัดแย้งและข้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามฎีกาของโจทก์ตอนแรกโจทก์กล่าวมาในฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนอยู่ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่อีกตอนหนึ่งโจทก์กลับกล่าวเป็นทำนองเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวถูกต้องเป็นสัญญาที่สมบูรณ์โดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงขัดแย้งกัน อีกทั้งมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตีความสัญญาไม่ถูกต้องผิดจากที่คู่กรณีบ่งชี้ไว้อย่างไร และโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด ถือว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ได้มีสิทธิเข้าไปปรับปรุงทำถนนในที่พิพาทซึ่งยังค้างอยู่ต่อไปนั้น เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ คำขอตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามดังวินิจฉัยมาปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์ได้ทำถนนเข้าไปในที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นดอกเบี้ย เหตุมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์
ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการขัดต่อระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ย มิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่าจำเลยได้ตัดต้นอ้อยออกจากที่ดินโจทก์ไปขายหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ที่จำเลยให้การว่าตามฟ้องระบุว่ายังมีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการบิดเบือนและที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บอกกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยก็อาศัยเหตุว่ามีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทเป็นหลัก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทอีกทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 36